รีเซต

'สนธิรัตน์' ลั่นสานต่อโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรค เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

'สนธิรัตน์' ลั่นสานต่อโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรค เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
มติชน
25 มกราคม 2565 ( 11:01 )
166
'สนธิรัตน์' ลั่นสานต่อโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรค เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

“สนธิรัตน์” ลั่นพร้อมสานต่อโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเป็นนโยบายพรรค เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ชี้ระบบเศรษฐกิจแข็งแรง ต้องสร้างฐานรากให้เข้มแข็ง

 

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย พร้อมด้วย นายสุพล ฟองงาม อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ และนายวัชระ กรรณิการ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย พบปะผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชน ตัวแทนวิสาหกิจชุมชนปลูกพืชพลังงาน โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นหนึ่งในนโยบายที่ได้ขับเคลื่อนในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยแนวคิด Energy For All เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงพลังงานทั้งการมีพลังงานใช้ และเป็นได้ทั้งเจ้าของธุรกิจพลังงาน ลบภาพกลุ่มทุนผูกขาดธุรกิจพลังงาน การมาพบปะกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชน และตัวแทนวิสาหกิจชุมชนปลูกพืชพลังงาน ที่อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อเป็นการติดตามความก้าวหน้าของนโยบายที่ทางกระทรวงพลังงานได้สานต่อ พร้อมรับฟังความคิดเห็น ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการ เพื่อนำไปกลั่นกรองเป็นข้อมูลในการกำหนดเป็นนโยบายพรรคสร้างอนาคตไทยที่เป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง

 

โดยได้รับการต้อนรับจากกลุ่มบริษัท ศรีโคตรบูรณ์ BCG โดยคุณวิชวินท์ ศรีสุชัยจันทร์ และคุณสายทิพย์ แสงสิงห์แก้ว บริษัท ไบโอ-แพลนท์ส รอว์ แม็ททีเรียล จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนในจังหวัดนครพนมซึ่งได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการด้านเชื้อเพลิงร่วมกับชุมชนและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยมีสถานะเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อสังคม ทั้งนี้ได้นำร่องปลูกพืชพลังงานร่วมกับชุมชน 4 แห่ง ได้แก่ อำเภอเมือง นาทม ท่าอุเทน และธาตุพนม โดยถือเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่ตรงตามนโยบายภายใต้แนวคิด Energy For All ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครพนม 4 แห่ง กว่า 800 ครัวเรือน จากการขายเชื้อเพลิงพืชพลังงานประมาณ 25-30 ล้านบาทต่อปี ได้รับหุ้นจากโรงไฟฟ้า 10% ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งผลประกอบการตามสัดส่วนหุ้น 4% ทุกปี คิดเป็นรายได้สู่ชุมชนประมาณ 0.6-1 ล้านบาทต่อปี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีเกษตรกรดั้งเดิมไปสู่การเป็น Smart Farmer และ Human Capital เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพในพื้นที่ ซึ่งในอนาคตจะมีการสร้างเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อต่อยอดไปสู่ชุมชนในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป

 

“โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นนโยบายที่ผมได้ริเริ่มไว้เมื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตั้งใจให้เป็นโครงการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้กับพี่น้องประชาชน วันนี้มาติดตามดูผลของการเกิดโรงไฟฟ้าชุมชนว่าโครงการสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในการปลูกพืชพลังงาน ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างรายได้จากการปลูกพืชพลังงานแต่ยังขยายผลจากการนำพืชพลังงานไปสร้างรายได้เพิ่ม ซึ่งจะเห็นว่ามีความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมปศุสัตว์ และ NIA ที่มีการนำหญ้าเนเปียร์มาพัฒนาเป็นอาหารสัตว์ มีการนำมูลสัตว์มาผสมกับหญ้าแล้วอบแห้งเป็นปุ๋ย หรือแม้แต่หญ้าเนเปียร์ที่แก่ เป็นอาหารสัตว์ไม่ได้ก็นำไปทำเป็นถ่านที่เรียกว่าไบโอชาร์ใช้ในการปรับปรุงดินแทนสารเคมี ซึ่งผมก็มาดูในสิ่งที่ผมได้ริเริ่มเอาไว้ และจะนำสิ่งเหล่านี้ไปเป็นแนวทางในการทำเป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงต่อไป เพราะโครงการนี้จะเป็นโครงการที่สร้างความยั่งยืนให้พี่น้องประชาชนฐานรากตามเป้าหมายโครงการ ก่อเกิดวิสาหกิจชุมชน ก่อเกิดความร่วมมือของเกษตรกร ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า และภาครัฐที่เข้ามาร่วมกันได้ ที่สำคัญยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย”นายสนธิรัตน์กล่าว


ข่าวที่เกี่ยวข้อง