โบรกคาดไตรมาส 3/68 บจ.ฟันกำไร 2.6 แสนล้านบาท หุ้นตัวไหนเด่นพร้อมวิ่ง

ตลาดหุ้นไทยช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาผันผวน หลังตัวเลขเงินเฟ้อเดือนก.ค.ที่ผ่านมาของไทยติดลบ 0.72% ต่อเนื่องเป็นเดือนที 6 สาเหตุหลักมาจากราคาสินค้ากลุ่มพลังงานลดลง ทั้งค่ากระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงตามราคาพลังงานโลกและนโยบายรัฐบาล
ขณะที่สินค้ากลุ่มอาหารยังคงลดลง โดยเฉพาะไข่ไก่ ผักสด และผลไม้สด ทำให้มีความกังวลต่อความเสี่ยงของภาวะ เงินฝืดเพิ่มขึ้น จากนั้นดัชนีหุ้นไทยได้ดีดปรับตัวขึ้นมายืนเหนือ 1,300 จุด ในเวลาต่อมา ขานรับ ปัจจัยบวกเป็นผลมาจาครม.ไฟเขียวมาตรการ "คนละครึ่งพลัส" ช่วยประชาชน 20 ล้านคน หวังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.3 - 0.4 ของ GDP และฟื้นเศรษฐกิจไทยให้พ้้นจากการติดหล่มในช่วงไตรมาส 4
ขณะเดียวกันมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ตามทิศทางหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ ประกอบกับภาครัฐมีแผนกระตุ้นตลาดทุนด้วยการเร่งปรับเกณฑ์แบบเร่งด่วน เพื่อจูงใจบริษัทต่างชาติที่ได้ BOI เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย นำร่องจากกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และกลุ่ม EV ซึ่งประเด็นดังกล่าวหนุนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับขึ้นทั้งกลุ่ม
ส่วนหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า คาดว่าจะ ได้รับอานิสงส์จากโครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำ สัญญา ซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง หรือ Direct PPA ส่งผลให้หุ้นไทยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดใน รอบกว่า 8 เดือนครึ่งที่ระดับ 1,317.88 จุด
จากนั้นหุ้นไทยพลิกกลับมาร่วงลงแรงในช่วงท้ายสัปดาห์ หลัง DELTA ถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายกำหนดให้ต้องซื้อด้วยบัญชีเงินสด หรือ Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา – 30 ต.ค. ระยะสั้นอาจสร้างแรงกดดันต่อ DELTA และด้วย Market Capitalization สูงสุด ส่งผลให้ดัชนีความผันผวน รวมถึงหุ้น THAI ร่วงต่อเนื่อง จากความกังวลเรื่องความเป็นอิสระของบอร์ดผู้บริหาร หลังกระทรวงการคลังเสนอให้ขยายจำนวนกรรมการเพิ่มอีก 4 คน รวมเป็น 15 คน ซึ่งจะทำให้มีตัวแทนจากภาครัฐรวมถึง 8 คน จากปัจจุบันที่มีบอร์ดอยู่ 11 คน
สำหรับแนวโน้มทิศทางหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร จะมีปัจจัยบวกและลบอะไรที่ต้องติดตามบ้าง และการประกาศงบไตรมาส 3/68 ของบริษัทจดทะเบียนจะเป็นอย่างไร ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า หุ้นไทยตั้งแต่ต้นเดือนต.ค.จนถึงวันที่ 9 ต.ค. ดัชนีขึ้นมากว่า 40 จุด จากระดับ 1,274 จุดขึ้นมาสูงสุดที่ 1,317 จุด แรงผลักดันหลักมาจากหุ้น DELTA ขึ้นมา 27% หนุน PE ตลาดปีนี้แพงขึ้นมากกว่าปกติอยู่ประมาณ 15.5 เท่า ถ้าหัก DELTA ออกจะอยู่ที่ 13.5 เท่า และหลังจากที่ DELTA ถูกขึ้นบัญชี Cash Balance ทำให้ดัชนีผันผวนมาก โดยหุ้น DELTA ที่ลงทุก 1 บาท กดดัชนีลง 1 จุด และกดดัน SET 50 ที่ 0.7 จุด ดังนั้นคาดว่าหุ้น DELTA จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนในสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้ต้องเกาะติดสถานการณ์แผ่นดินไหวที่ฟิลิปินส์และอินโดนีเซีย เนื่องจากมีการประกาศแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังเรื่องสึนามิจะเป็นแรงกดดันหุ้นท่องเที่ยว ถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องติดตาม รวมถึงเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดย บลูมเบิร์ก คอนเซนซัส คาดว่าจะโต 3.1% จากเดิม 2.9% อาจเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทย เพราะถ้าเงินเฟ้อสูงการคาดหวังปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดมีโอกาสลดน้อยลง แต่ต้องดูว่าตัวเลขสามารถเปิดเผยออกทัน 15 ต.ค.นี้หรือไม่ เพราะช่วงนี้เป็นช่วง government shutdown แต่ถ้าตามผลโพล มีโอกาสที่ government shutdown จะเกิดขึ้นเลยวันที่ 15 ต.ค.สัดส่วน 66% หรือ 2 ใน 3 และโอกาสต่ำกว่า 15 ต.ค.มีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น
โดยภาพรวมตลาดหุ้นในไตรมาส 4 เปลี่ยนแปลงไปจาก 3 ไตรมาสที่ผ่านมา ด้วยสภาวะเข้าสู่ดอกเบี้ยขาลง สภาพคล่องที่ล้นระบบ ปัจจัยภายนอกและภายในประเทศดีขึ้น ทำให้ดัชนีมีโอกาสเคลื่อนไหวตามสถานการณ์ของโลกสัดส่วน 60% ซึ่งการเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยจะล้อไปกับธีมตาม กระแสโลกมากขึ้น
ดังนั้นในสัปดาห์หน้าจะมีการประกาศงบไตรมาส 3/68 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ของตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นสหรัฐฯ เบื้องต้นงบที่ออกมาจะปรับตัวลงทั้ง QOQ และ YOY เนื่องจากที่ผ่านมาไทยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากดูภาพรวมคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 3/68 โดยรวบรวม ข้อมูลจาก บลูมเบิร์ก คอนเซนซัส 97 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 72% ของมูลค่าตลาดรวม หรือMARKET CAP พบว่า กำไรบจ. อยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท เติบโต 33% หากเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสูงกว่าปกติที่อยู่ที่ระดับ 2.4-2.5 แสนล้านบาท แต่ลดลง 28%จากไตรมาส 2/68 ที่กำไรบจ.อยู่ที่ 3.2 แสนล้านบาท เนื่องจากฐานที่สูง
ทั้งนี้แนะนำทยอยสะสมหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/68 เติบโตโดดเด่น หากเทียบกับไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย TRUE ราคาเป้าหมาย 15.20 บาท MAJOR ราคาเป้าหมาย 14.80 บาท ADVANC ราคาเป้าหมาย 345 บาท BH ราคาเป้าหมาย 210 บาท MTC ราคาเป้าหมาย 45 บาท BGRIM, ADVANC, MTC และ PLANB โดยเม็ดเงินที่ล้นระบบจะหนุนหุ้นดังกล่าว outperform มากขึ้น
นอกจากนี้ตลาดหุ้นโลกมีการเปลี่ยนผ่านพลังงาน และธุรกิจ AI ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทำให้หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขึ้นร้อนแรง โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จะเป็นแรงหนุนให้หุ้นโรงไฟฟ้าของไทยดีดปรับตัวขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ทิศทางดอกเบี้ยขาลง ตลาดคาดเฟดและกนง.จะมีการปรับลดดอกเบี้ยลงจะทำให้ภาระหนี้สินของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับตัวลดลงส่งผลให้บริษัทมีมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันหุ้น AI มี P/E สูงมากอาจจะไหลเข้ามาลงทุนหุ้นโรงไฟฟ้าที่ P/E ต่ำ แต่ Dividend Yield สูง โดยหุ้นเด่นคือ GULF เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ อัพไซด์ 50% ราคาเป้าหมาย 68.25บาท หุ้น EGCO ปันผลสูง 5.2% และหุ้น RATCH ปันผลสูง 6% ต่อปี และ BPP มีรายได้โรงไฟฟ้าทีสหรัฐฯ 70% ปันผล 6.5% และคาดหวังมีโอกาสเข้าดัชนี SET 100 ในช่วง 1H69
ส่วนการเคลื่อนไหวฟันด์โฟลว์ในเดือนต.ค.พบว่า เม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาในตลาดเอเชียมากขึ้นหนุนดัชนีบวกได้ดี โดยญี่ปุ่นบวก 7.3% ไต้หวันบวก 5.7% เกาหลีใต้บวก 5.4% เวียดนามบวก 4.2% อินเดีย 2.8% อินโดนีเซีย 2.1% ฟิลิปปินส์ 1.5% ไทยบวก 1.1% โดยเม็ดเงินไหลเข้าญี่ปุ่นมากสุดถึ 1.68 วหมื่นล้านเหรียญ เกาหลีใต้ 2.9 พันล้านเหรียญ ไต้หวัน 2.2 พันล้านเหรียญ อินโดนีเซีย 32 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยต่างชาติขายสุทธิ 8 ล้านเหรียญสหรัฐ ฟิลิปปินส์ขายสุทธิ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ อินเดีย 53 ล้านเหรียญสหรัฐ และเวียดนามขายสุทธิ 310 ล้านเหรียญสหรัฐ
ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี มองว่า ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าฟื้นตัว ประเมินแนวรับแรกที่ 1,278 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,268 จุด แนวต้านแรกที่ 1,303 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1, 317 จุด หลังจากตลาดสะท้อนแรงกดดัน DELTA ที่ติด Cash Balance ช่วงปลายสัปดาห์ไปแล้ว ขณะที่พื้นฐานแกร่ง อิงกระแส AI CAPEX cycle กำลังเร่งขึ้นระลอกใหม่
ส่วนภาพใหญ่ขึ้นกับพัฒนาการของ Government Shutdown สหรัฐฯ ว่าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ รวมถึงติดตาม เงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ส่วนเอเชีย ตลาดจะเริ่มให้น้ำหนักประชุมสำคัญของจีน ขณะที่ภายในรอติดตามมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดรัฐออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว ประเมินหุ้นเด่น หุ้นอิง AI Capex cycle (ไฟฟ้า นิคม สื่อสาร ผสาน เก็งกำไร DELTA) หุ้นอิงภายใน (ท่องเที่ยว ร.พ.) และหุ้นธีม Anti-involution
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย
• 14 - 17 ต.ค. ติดตามสภาครองเกรสพิจารณาร่างงบประมาณประจำปี หรืองบประมาณชั่วคราว (Continuing Resolution) ของสภาสหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหา Government Shutdown ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา
• 15 ต.ค. เงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐ คาด +3.1%y-y, +0.4%m-m จากเดิมอยู่ที่ +2.9%y-y, +0.4%m-m, เงินเฟ้อพื้นฐาน คาด +3.0%y-y, +0.3%m-m จากเดิมอยู่ที่ +3.1%y-y, +0.3%m-m
• 16 ต.ค. ติดตามรายงานดัชนี Retail Sales หรือยอดขายปลีกเดือน ก.ย.ของสหรัฐฯ คาด +0.4%m-m จากเดิมอยู่ที่ +0.6%m-m
• 17 ต.ค. รายงานดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม ก.ย.ของสหรัฐฯ คาด +0.0%m-m vs prev. +0.1%m-m
• 17 ต.ค. รายงานการค้าระหว่างประเทศจีน ก.ย. คาดส่งออก +6.7%y-y vs prev. +4.4%y-y, ดุลการค้า ก.ย. เกินดุล +99.1 พันล้านเหรียญฯ vs prev. เกินดุล +102 พันล้านเหรียญฯ
• 17 ต.ค. รายงานเงินเฟ้อ CPI ก.ย. รอบสุดท้ายของยุโรป ตลาดคาด +2.2%y-y, +0.1%m-m เท่ารายงานรอบก่อน
หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ
• GULF (TP25F-59): ได้ประโยชน์ AI CAPEX cycle ระลอกใหม่ + ผลบวกนโยบายพลังงาน
• IVL (TP26F-26): ผลบวกธุรกิจในสหรัฐฯ +ส่วนอื่นภาพบวกนโยบาย Anti-involution จีน
• PTTGC (TP25F-28): นโยบาย Anti-involution ที่ชัดขึ้นจากการประชุมสำคัญๆของจีน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
