นับถอยหลังอีก 3 ปี โลกมุ่งสู่หายนะจากโลกร้อน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นักวิทยาศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกว่า 60 คน ได้ประเมินสถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับวิกฤตโลกร้อน โดยเตือนว่าหากโลกยังคงปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับปัจจุบัน อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะพุ่งทะลุเส้นตาย 1.5 องศาเซลเซียสภายในเวลาไม่เกิน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นจุดที่ความเสียหายต่อระบบนิเวศและสภาพภูมิอากาศจะไม่อาจย้อนกลับได้อีก

แม้หลายประเทศทั่วโลกจะร่วมลงนามในข้อตกลงปารีส เพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่ปัจจุบัน หลายชาติยังคงพึ่งพาพลังงานจากถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และตัดไม้ทำลายป่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับเป้าหมายของข้อตกลงดังกล่าว

การประเมินในปี 2563 ระบุว่า มนุษยชาติสามารถปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกไม่เกิน 500,000 ล้านตัน เพื่อไม่ให้อุณหภูมิทะลุเส้นตายดังกล่าว แต่การประเมินล่าสุดในปี 2568 พบว่า ปริมาณที่ปล่อยได้ลดลงเหลือเพียง 130,000 ล้านตันเท่านั้น เนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เช่น มีเทน ยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 40,000 ล้านตันต่อปี

สัญญาณอันตรายชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อปี 2567 กลายเป็นปีแรกที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกทะลุเกณฑ์ 1.5 องศาฯ โดยมีสาเหตุหลักจากสภาพอากาศร้อนจัดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก ทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.36 องศาฯ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นประมาณ 0.27 องศาฯ ทุก 10 ปี นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ ยังพบหลักฐานจากความไม่สมดุลของการสะสมความร้อนในแต่ละพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงปี 2513 ถึง 2523 และปัจจุบันสูงขึ้นจากเดิมอีกกว่า 25% โดยร้อยละ 90 ของความร้อนส่วนเกินนั้นถูกดูดซับไว้โดยมหาสมุทร ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเล

นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานอย่างจริงจังและเร่งด่วน โลกอาจเข้าสู่ภาวะโลกร้อนถาวรภายในเวลาอันใกล้ ซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อมนุษยชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างไม่อาจประเมินได้