รีเซต

ร่างกายเราทน 'ร้อน' ได้แค่ไหน? เปิดสถิติ 2 เดือน 'โรคลมแดด' คร่า 30 ชีวิต

ร่างกายเราทน 'ร้อน' ได้แค่ไหน? เปิดสถิติ 2 เดือน 'โรคลมแดด' คร่า 30 ชีวิต
TNN ช่อง16
28 เมษายน 2567 ( 11:02 )
41

ในช่วงนี้ประเทศไทยต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุเป็นประวัติการณ์ โดยหลายพื้นที่วัดอุณหภูมิสูงสุดได้ถึง 43-44 องศาเซลเซียส ซึ่งนับเป็นระดับความร้อนที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนอย่างหนัก แต่ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ อุณหภูมิที่สูงเกินขีดจำกัดเช่นนี้ ยังส่งผลคุกคามต่อสุขภาพและชีวิตของผู้คนโดยตรง เพราะความจริงก็คือ ร่างกายมนุษย์มีขอบเขตในการทนทานต่อความร้อนที่จำกัด หากต้องเผชิญกับอากาศร้อนจัดเป็นเวลานาน ก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้


ร่างกายมนุษย์มีขีดจำกัดในการทนทานต่อความร้อน


แม้ร่างกายของเราจะมีกลไกในการควบคุมอุณหภูมิ เพื่อรักษาสมดุลความร้อนให้คงที่ แต่เมื่ออุณหภูมิภายนอกสูงมากเกินไป จนระบายความร้อนออกจากร่างกายไม่ทัน ก็จะทำให้เกิดภาวะ "ร่างกายร้อนเกิน" (Hyperthermia) ซึ่งเป็นอาการผิดปกติที่อุณหภูมิของร่างกายสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะนำไปสู่ภาวะ "เครียดจากความร้อน" (Heat Stress) ที่มีไข้สูง ตัวร้อนจัด และระบบต่างๆในร่างกายเริ่มทำงานผิดปกติ 


ถ้าอุณหภูมิในร่างกายเพิ่มขึ้นจนแตะ 42 องศาเซลเซียส ก็จะเข้าขั้น "โรคลมแดด" (Heat Stroke) ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต เพราะจะส่งผลให้อวัยวะสำคัญล้มเหลว หัวใจวาย และเสียชีวิตในที่สุด


จากสถิติพบว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงมากกว่าคนวัยหนุ่มสาว เนื่องจากระบบหัวใจและความต้านทานของร่างกายอ่อนแอกว่า หากต้องเผชิญความร้อนสูงเป็นเวลานานก็อาจทำให้ช็อคและเสียชีวิตได้ง่าย ซึ่งเป็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก สถิติผู้เสียชีวิตจากคลื่นความร้อนทั่วโลกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนรวมกันมากกว่าผู้ที่ตายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติด้านอื่นๆเสียอีก


ตัวแปรสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้คนเราทนต่อความร้อนได้ยากขึ้น ก็คือ "ความชื้น" ยิ่งอากาศมีความชื้นสัมพัทธ์สูง ความสามารถในการระบายความร้อนของร่างกายก็จะยิ่งลดลง ทำให้อดทนต่อสภาพอากาศได้ในระยะเวลาที่สั้นลง 


ยกตัวอย่างเช่น ในอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียสเท่ากัน คนเราจะทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำได้นานกว่าในที่ที่มีความชื้นสูง นั่นเป็นเพราะเหงื่อที่ขับออกมาเพื่อระบายความร้อนนั้น จะระเหยช้าลงในอากาศชื้น ทำให้เย็นตัวได้ยากกว่าในอากาศแห้ง ซึ่งเมืองไทยของเราโชคร้ายที่ต้องเผชิญทั้งอากาศร้อนและความชื้นสูงไปพร้อมๆกัน


ดังนั้น ในวันที่อุณหภูมิพุ่งสูงเกินปกติ เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการลดอุณหภูมิร่างกาย ด้วยการอยู่ในที่ร่ม หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง ดื่มน้ำเย็นบ่อยๆ อาบน้ำ ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง เช่น ร้อนวูบวาบ มีไข้ ซึมเซา หากเป็นมากก็ต้องรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็กเล็ก อย่าให้ต้องเผชิญความร้อนเป็นเวลานาน เพราะร่างกายอาจทนไม่ไหว 


กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยตัวเลขสะท้อนความสูญเสียอย่างหนักหน่วง ที่คร่าชีวิตคนไทยไปอย่างน่าเศร้า จากการเผชิญคลื่นความร้อนอันโหดร้ายในปีนี้


ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายน 2567 มีประชาชนถึง 30 ชีวิตต้องจบชีวิตลงเพราะโรคลมร้อน หรือที่เรียกกันทางการแพทย์ว่า "ฮีทสโตรก" ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงเกินขีดจำกัด


นี่ถือเป็นสัญญาณเตือนอันน่าวิตกอย่างยิ่ง เพราะยอดผู้เสียชีวิตในปีนี้สูงเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่มีนาคมถึงมิถุนายน 2566 มียอดผู้เสียชีวิตจากโรคลมร้อนอยู่ที่ 37 คน แต่ปี 2567 เพียง 2 เดือนก็เข้าใกล้ตัวเลขนั้นแล้ว นับเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายและทรุดหนักลงอย่างน่าใจหาย


ตัวเลขอันสะเทือนขวัญเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นภัยคุกคามที่แท้จริงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตผู้คนแล้วในขณะนี้ โรคลมร้อนอาจฟังดูไม่น่ากลัวเท่าโรคระบาดร้ายแรง แต่เมื่ออุณหภูมิพุ่งสูงจนร่างกายไม่สามารถทนได้ มันก็คร่าชีวิตผู้คนได้เช่นกัน


ยิ่งน่าเป็นห่วงตรงที่ กลุ่มคนเปราะบางอย่างผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ป่วยเรื้อรัง มักมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เนื่องจากร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะทนทานต่อความร้อนที่สูงเกินขีดจำกัดได้


2 เดือน คลื่นความร้อน คร่า 30  ชีวิต


กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยตัวเลขสะท้อนความสูญเสียอย่างหนักหน่วง ที่คร่าชีวิตคนไทยไปอย่างน่าเศร้า จากการเผชิญคลื่นความร้อนอันโหดร้ายในปีนี้


ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเมษายน 2567 มีประชาชนถึง 30 ชีวิตต้องจบชีวิตลงเพราะโรคลมร้อน หรือที่เรียกกันทางการแพทย์ว่า "ฮีทสโตรก" ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงเกินขีดจำกัด 


นี่ถือเป็นสัญญาณเตือนอันน่าวิตกอย่างยิ่ง เพราะยอดผู้เสียชีวิตในปีนี้สูงเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่มีนาคมถึงมิถุนายน 2566 มียอดผู้เสียชีวิตจากโรคลมร้อนอยู่ที่ 37 คน แต่ปี 2567 เพียง 2 เดือนก็เข้าใกล้ตัวเลขนั้นแล้ว นับเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายและทรุดหนักลงอย่างน่าใจหาย


ตัวเลขอันสะเทือนขวัญเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นภัยคุกคามที่แท้จริงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังส่งผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตผู้คนแล้วในขณะนี้ โรคลมร้อนอาจฟังดูไม่น่ากลัวเท่าโรคระบาดร้ายแรง แต่เมื่ออุณหภูมิพุ่งสูงจนร่างกายไม่สามารถทนได้ มันก็คร่าชีวิตผู้คนได้เช่นกัน 


ยิ่งน่าเป็นห่วงตรงที่ กลุ่มคนเปราะบางอย่างผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ป่วยเรื้อรัง มักมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคนี้สูงกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เนื่องจากร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะทนทานต่อความร้อนที่สูงเกินขีดจำกัดได้ 


สถิติที่ชวนใจหายเหล่านี้ เป็นอีกหนึ่งเสียงเตือนให้พวกเราตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ยิ่งนานวันเข้ายิ่งทวีความรุนแรงจนส่งผลต่อชีวิตมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การร่วมกันแก้ปัญหาที่ต้นตอ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อชะลอความร้อนของโลก จึงเป็นภารกิจสำคัญที่ทุกคนต้องร่วมแรงร่วมใจกันต่อไป เพื่อความอยู่รอดของเราและลูกหลานในวันข้างหน้า

ข่าวที่เกี่ยวข้อง