รีเซต

ย้อนดูที่สุดแห่งปี 2025 "คนละครึ่งพลัส" มาตรการรัฐ (ยาแรง) กระตุ้นเศรษฐกิจส่งท้ายปลายปี

ย้อนดูที่สุดแห่งปี 2025  "คนละครึ่งพลัส"  มาตรการรัฐ (ยาแรง) กระตุ้นเศรษฐกิจส่งท้ายปลายปี
TNN ช่อง16
30 ธันวาคม 2568 ( 08:00 )

ย้อนดูที่สุดแห่งปี 2025 "คนละครึ่งพลัส" โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 


โครงการ "คนละครึ่งพลัส" เป็นมาตรการ ร่วมจ่าย (co-payment) ของรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ลดค่าครองชีพ และหนุนเศรษฐกิจฐานรากในช่วงปลายปี 2568 โดยโครงการนี้เป็นโครงการเก่า เดิมชื่อว่า คนละครึ่ง ที่ใช้เป็นยาแรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในยุคที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ในสมัยของรัฐบาลยุคลุงตู่ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ประชาชนไปถึงภาคธุรกิจและนักวิชาการ 


“คนละครึ่งพลัส” ในปี 2025  เป็นการเดิมพันไตรมาสสุดท้ายปลายปี เพื่อเพิ่มพลังทางเศรษฐกิจไทย คำว่าพลัส คือ การเพิ่มเติมสิทธิและขยายโอกาสไปยังร้านค้าให้มากขึ้น ครอบคลุมถึงร้านค้าขนาดเล็ก นิติบุคคล ไมโคร SME และวิสาหกิจชุมชนที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี และยังขยายโอกาสไปถึงกลุ่มธุรกิจบริการ อย่างร้านตัดผม และแท็กซี่ รถสาธารณะ รวมไปถึงการเพิ่มให้มีสิทธิ “ฟู้ดเดลิเวอรี่ พลัส” ซึ่งเปิดให้ประชาชนใช้สั่งอาหารผ่านระบบจัดส่งอาหารหรือไรเดอร์ได้ 


ส่วนประชาชนที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการมีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 20 ล้านสิทธิเท่านั้น แต่สิ่งที่พลัสเข้ามา คือ อายุเด็กลง คุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงทะเบียน คือ ต้องมีสัญชาติไทย มีบัตรประชาชน มีอายุไม่ต่ำกว่า 16 ปีบริบูรณ์ในวันลงทะเบียน และต้องไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 รวมถึงต้องไม่เคยถูกตัดสิทธิในโครงการคนละครึ่งเฟสก่อนหน้าตั้งแต่ 1-5  


ส่วนการแจกเงินหรือให้เงินสมทบในครั้งนี้ ถูกเรียกว่าคนละครึ่งพลัส เพราะว่ามีการแบ่งกลุ่มปรับสัดส่วน ระหว่างผู้ที่อยู่ในระบบภาษี กับคนทั่วไป โดยผู้ที่อยู่ในระบบภาษีจำนวนราว 11 ล้านคน จะได้รับสิทธิแบบ “60:40” คือ ประชาชนเติมเงิน 2,000 บาท รัฐจะสมทบให้อีก 2,400 บาท ขณะที่ประชาชนทั่วไปอีกประมาณ 9 ล้านคน จะได้รับสิทธิแบบ “50:50” เติมเงิน 2,000 บาท รัฐสมทบให้อีก 2,000 บาท


นอกจากนี้ยังกลุ่มของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือหลายคนเรียกติดปากว่าบัตรคนจน  ซึ่งไม่เคยได้เข้าร่วมมาก่อนในยุคแรกที่ผ่านมา รอบนี้ถูกนับว่าได้เข้าร่วมด้วย แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบคนละครึ่งโดยตรง เพราะรัฐบาลมองว่าเป็นกลุ่มเปราะบาง อาจจะไม่มีกำลังซื้อ ดังนั้นผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 13 ล้านคน จะได้รับเงินโอนตรงเข้าสู่ระบบ โดยจ่ายเพิ่มให้อีก 850 บาทต่อเดือน รวมกับเงินเดิม 300 บาท กลายเป็น 1,150 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 2 เดือน


การใช้จ่ายเริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม จนถึง 31 ธันวาคม 2568 จำกัดวงเงินไม่เกิน 200 บาทต่อวัน โดยประชาชนต้องชำระผ่าน G-Wallet บนแอปเป๋าตังเท่านั้น 


รัฐบาลคาดว่า คนละครึ่งพลัสจะช่วยเพิ่มการจับจ่ายภายในประเทศ กระตุ้นอุปสงค์ และช่วยพยุงการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงปลายปี โดยมีเป้าหมายให้เงินหมุนเวียนในระบบและการจับจ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหลายฝ่ายประเมินว่าอาจช่วยหนุน GDP ในไตรมาสสุดท้ายของปีได้


แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการประกาศยุบสภาเพื่อเตรียมเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า ก็ทำให้โครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” หรือโครงการระยะที่สอง ต้องเป็นหมันไปโดยปริยาย 

 

"คนละครึ่งพลัส" ช่วยดันความเชื่อมั่น สร้างความหวังฟื้นเศรษฐกิจ


ผลลัพธ์อย่างเป็นทางการสำหรับ “คนละครึ่งพลัส” รอความชัดเจนในปีหน้า แต่สำหรับผลระยะสั้นความเชื่อมั่นกลับมาชัดเจน ทั้งผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงยอดของเดลีเวอรี  


“คนละครึ่งพลัส” ดัน เชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนตุลาคม ดีขึ้นในรอบ 9 เดือน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนตุลาคม 2568 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) อยู่ที่ระดับ 51.9 ปรับตัวดีขึ้นในรอบ 9 เดือน และดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภคคาดหวังว่าเศรษฐกิจ จะฟื้นตัวได้จากนโยบายคนละครึ่งพลัส รวมกับนโยบายอื่น


นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมั่นในภาคอุตสาหกรรม นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน 2568 อยู่ที่ระดับ 89.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 87.3 ในเดือนตุลาคม 2568 ทั้งนี้ การปรับขึ้นของดัชนีฯ เป็นผลมาจากหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย อาทิ โครงการคนละครึ่ง พลัส, เที่ยวดีมีคืน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน และส่งผลดีต่อการบริโภคสินค้าอาหาร-เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง



"ฟู้ดเดลิเวอรี" เติบโตชัดเจน จากยอดคนละครึ่งพลัส ร้านค้าแห่เข้าร่วม  


กระแสตอบรับจากฟากฝั่งของผู้ให้บริการเดลีเวอรี ก็สอดคล้องกันว่าสร้างยอดเติบโตแบบก้าวกระโดด เช่น LINE MAN เผยว่าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” สร้างผลตอบรับที่แรงต่อเนื่องตั้งแต่เปิดโครงการ เช่น ยอดออเดอร์สะสมทะลุ 2 ล้านออเดอร์ภายใน 5 วัน จากผู้ใช้งานกว่า 1 ล้านคนทั่วประเทศ และมีร้านอาหารเข้าร่วมบนแพลตฟอร์มแล้วมากกว่า 40,000 ร้านค้า ดันเม็ดเงินหมุนเวียนเกือบ 300 ล้านบาท


ขณะที่แกร็บเผย “คนละครึ่งพลัส” คึกคัก ยอดสั่งอาหารทะลุ 1 ล้านออเดอร์ในไม่กี่วัน ร้านเล็กและสตรีทฟู้ดที่มียอดขายโตเฉลี่ย 3 เท่า โดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหารขนาดเล็กและสตรีทฟู้ด ที่เข้าร่วมกับแกร็บเพิ่มขึ้นกว่า 50%  นอกจากนี้โครงการคนละครึ่งพลัสช่วยให้ร้านอาหารท้องถิ่นหลายแห่งมียอดขายพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์  เช่นบางร้านในกรุงเทพฯ มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 18 เท่า จากหลักร้อยเป็นหลักหมื่นต่อวัน บางร้านเล็กๆ แต่สามารถยอดขายเฉลี่ยสูงสุดกว่า 50,000 บาทต่อวัน นอกจากนี้ไรเดอร์ก็มีรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 13% หลังเริ่มโครงการ รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวัตถุดิบอาหาร–เครื่องดื่ม ที่ได้รับอานิสงส์จากการบริโภคที่ขยายตัวด้วยเช่นกัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง