รีเซต

"ท่องเที่ยวไทย" เร่งเกมรุกปลายปี "ไฮซีซัน" จัดเต็มอีเวนต์ ดึงต่างชาติทั้ง Value-Volume

"ท่องเที่ยวไทย" เร่งเกมรุกปลายปี "ไฮซีซัน" จัดเต็มอีเวนต์ ดึงต่างชาติทั้ง Value-Volume
TNN ช่อง16
24 กันยายน 2568 ( 18:35 )
1

"ท่องเที่ยวไทย" เร่งเกมรุกปลายปี "ไฮซีซัน" ดึงต่างชาติ 2 กลุ่ม ทั้งคุณภาพ - ปริมาณ พร้อมเสนอไอเดีย "ทัวร์ไทยคนละครึ่ง"


น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ยอมรับว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย แต่ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ และแผนงานต่าง ๆ อยู่เสมอ ล่าสุด คือ ความร่วมมือครั้งสำคัญ ระหว่าง ททท., สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมถึงสมาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้มาร่วมพูดคุยกันเพื่อหาแนวทางกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งถือเป็นไตรมาสที่เป็นความหวังของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) ที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก


สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะต้องเร่งมือเก็บเกี่ยวนักท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด รัฐบาลได้แถลงนโยบาย “Values over Volume” คือเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน จะต้องเก็บทั้งคุณภาพ และปริมาณ นั่นหมายความว่า Value ต้องมาพร้อมกับ Volume ขณะเดียวกัน ก็ยังให้ความสำคัญกับทุกตลาด ทั้งตลาดที่ชะลอตัวลง และตลาดที่เป็นดาวรุ่ง


สำหรับกลยุทธ์การตลาดเชิงรุก และ Big Event ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แบ่งเป็นตลาดหลักต่างๆ ดังนี้ ได้แก่


"ตลาดจีน" ได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูตลาด สร้างความมั่นใจอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการออกแคมเปญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น “Trusted Thailand” เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 นี้ รวมถึงการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ และการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในช่วง Golden Week ระหว่างวันที่ 26 กันยายน-8 ตุลาคม 2568 ซึ่งได้เชิญ KOLs (ผู้มีอิทธิพลทางความคิด หรือ Key Opinion Leader) และ Influencer กว่า 100 คน เข้ามาในประเทศไทย เพื่อร่วมกิจกรรมและแคมเปญต่าง ๆ 


โดยคาดการณ์ว่าในช่วง Golden Week จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางเข้าไทยมากกว่า 20,000 คน/วัน ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวจีนในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 200,000 คน ซึ่งเราได้ใช้งบกระตุ้นผ่านความร่วมมือกับ OTA (Online Travel Agency) และกิจกรรมแคมเปญต่าง ๆ รวมถึงการเชิญ KOLs ทั้งจากจีนและไทยมาร่วมงาน Amazing Thailand Mid-Autumn Night ในวันที่ 6 ตุลาคม 2568 นี้


"ตลาดอินเดีย" จะมีการจัดงานดิวาลี (Diwali Festival) อย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกที่คลองโอ่งอ่าง เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ขณะเดียวกัน ก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับตลาดนักท่องเที่ยวอินเดีย รวมถึงกลุ่ม Expat (ชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย) ที่อยากจะมาท่องเที่ยวในงานนี้เช่นเดียวกัน


นอกจากนี้ยังมีการจัดงาน "Amazing Thailand Marathon" ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568  โดยมี “เอเลียด คิปโชเก” นักวิ่งมาราธอนระดับโลกเป็น Brand Ambassador

"เทศกาลลอยกระทง" ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ซึ่งจะยกระดับเป็น “มหาลอยกระทง” เช่นเดียวกับมหาสงกรานต์ที่เราเคยจัด จะยกระดับการจัดงานที่สุโขทัยให้ยิ่งใหญ่ และยาวนานขึ้น ขยายเวลาเป็น 2 สัปดาห์ เพื่อส่งเสริมการขายแพ็กเกจทัวร์ และสินค้าชุมชน และจะมีการส่งเสริมการขายไปยังตลาดต่างประเทศ โดยให้สำนักงาน ททท. ในต่างประเทศ 29 แห่ง ร่วมกันนำเสนอขายแพ็กเกจมหาลอยกระทงในปีนี้


"วิจิตรเจ้าพระยา" จะขยายเวลาการจัดงานเป็นเดือนกว่า (45 วัน) เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติได้สัมผัสกับวิถีทางน้ำ และกระตุ้นการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง


ผู้ว่าฯ ททท. กล่าวว่า ททท. เน้นทำการตลาดกับกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ ซึ่งตลาดจากยุโรป, ตะวันออกกลาง, อเมริกา, แอฟริกาใต้ และเอเชียใต้ยังคงเติบโตได้ดีในทุกตลาด แต่ยอมรับว่าได้รับผลกระทบในตลาดจีนจากประเด็นเรื่องความเชื่อมั่น และตลาดอาเซียนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่อาจทำให้นักท่องเที่ยวบางส่วนมีความกังวล และเปลี่ยนแปลงเส้นทางการท่องเที่ยว


สำหรับ "นักท่องเที่ยวชาวไทย" ถือเป็นสิ่งที่เราต้องเน้นย้ำเรื่องการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ หลังจากที่สิทธิ์ในโครงการ “ไทยเที่ยวไทยคนละครึ่ง” ได้หมดลงแล้ว โดยจะมีการหารือกับรัฐบาลเพื่อหามาตรการใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เงินบาทแข็งค่า


น.ส.ฐาปนีย์ กล่าวว่า มีแนวคิดที่จะเสนอโครงการ “ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางใหม่ ๆ ให้กับคนไทยผ่านบริษัททัวร์ในประเทศ โดยสนับสนุนให้คนไทยที่ไม่ค่อยได้ใช้บริการบริษัททัวร์ หันมาเดินทางท่องเที่ยวผ่านแพ็กเกจทัวร์ที่มีคุณภาพ เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ ๆ ในเส้นทางที่น่าสนใจ พร้อมกับการบริการที่ดีเยี่ยม


ในส่วนของงบประมาณนั้น จะพิจารณานำงบประมาณคงเหลือจากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” (วงเงิน 1,750 ล้านบาท) มาใช้ โดยต้องตรวจสอบจำนวนเงินที่เหลือ และจัดทำเงื่อนไขการสนับสนุนโครงการ “ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” ที่เหมาะสม เช่น ถ้ารัฐบาลจะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายแพ็กเกจทัวร์ 50% จะต้องใช้เงินสนับสนุนเท่าไร แต่จะใช้ในวงเงินที่ขอรับงบประมาณแล้ว ไม่ได้ขอเพิ่มเติม


สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ แนวคิดนี้จะต้องผ่านการหารือกับนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนใหม่ เพื่อให้ตกผลึกก่อน และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ หวังว่าจะมีโปรโมชั่น และแพ็กเกจใหม่ ๆ ออกมาให้คนไทยได้เดินทางในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้อย่างแน่นอน


 ผู้ว่าฯ ททท. ระบุว่า โครงการทัวร์ไทยคนละครึ่ง จะนำงบประมาณที่เหลือจากโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง มาต่อยอดเพื่อสนับสนุนให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวผ่านบริษัททัวร์ที่มีคุณภาพ โดยรัฐจะช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์แพ็กเกจทัวร์ใหม่ ๆ และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งค่า เนื่องจากในช่วง 3 เดือนสุดท้าย เริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนแล้วว่าคนไทยเตรียมแลกเงินเยน และเงินหยวนเตรียมไปเที่ยวแล้ว ซึ่งสิ่งเดียวที่จะสามารถจูงใจคนไทยให้เที่ยวในประเทศได้ คือ สินค้าที่มีคุณภาพ สร้างกระแสว่าเที่ยวไทยเศรษฐกิจไทยฟื้นฟู

ส.อ.ท. หวังการท่องเที่ยวเป็น ‘Quick Win’ กระตุ้นเศรษฐกิจ


นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ในมือเวลานี้ และยังทำเงินให้กับประเทศได้อย่างชัดเจน หนึ่งในนั้นก็คือภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซัน (High Season) และเป็นเทศกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะฉะนั้นช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เราควรจะต้องมีมาตรการดี ๆ ออกมา


โดยในระยะสั้น สิ่งที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีมาก คือการท่องเที่ยว ความท้าทายจากค่าเงินบาท และกลยุทธ์เชิงรุก เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามา ก็จะเกิดการหมุนเวียนของเงินและสร้างรายได้ แต่สิ่งสำคัญคือการดึงดูดนักท่องเที่ยวท่ามกลางความท้าทาย โดยเฉพาะเรื่องของเงินบาทที่แข็งค่า


นายเกรียงไกร กล่าวว่า การสร้างรายได้ให้ประเทศมีความสำคัญมาก ซึ่งรายได้หลักมาจาก 2 หมวด คือ 1. การส่งออก ที่ประเทศไทยพึ่งพากว่า 60% ของ GDP และ 2. ภาคการท่องเที่ยว อีกกว่า 10% ซึ่งในส่วนของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ วันนี้ค่าเงินไม่ค่อยเป็นใจ ดังนั้น จะต้องใช้มาตรการอื่น ๆ เข้ามาชดเชย เช่น มาตรการการตลาดเชิงรุก การหาแพ็กเกจที่สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว


นายเกรียงไกร ระบุว่า พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสมัยนี้เปลี่ยนไป จากเดิมที่อาจจะมากันเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เดี๋ยวนี้ก็จะมีการเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น จะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวในลักษณะไลฟ์สไตล์กำลังมาแรง การจัดเทศกาล และบิ๊กอีเวนต์ต่าง ๆ คิดว่าการที่ ททท. มีแผนการเชิงรุกและมีแพ็กเกจดี ๆ ที่จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง


สำหรับการฟื้นฟูความเชื่อมั่น และเจาะตลาดหลักอย่างจีน จะเห็นว่าในช่วงครึ่งปีแรกหายไปประมาณ 35-40% ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือความไม่มั่นใจในความปลอดภัย และกระแสข่าวต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดียที่ค่อนข้างโจมตี ซึ่งตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องรีบเร่งแก้ไข คือการสร้างความปลอดภัย ไม่ใช่เฉพาะนักท่องเที่ยวจีน แต่ต้องสร้างความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนที่เข้าสู่ประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา


พร้อมกันนี้นายเกรียงไกรได้ย้ำว่า เรื่องของแคมเปญต่าง ๆ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นกับจีน ก็คงต้องใช้ช่องทางที่คนจีนและนักท่องเที่ยวจีนเข้าถึง เพราะเขาชอบใช้ช่องทางออนไลน์ เราก็ต้องมี Influencer มีแคมเปญ ทำอย่างไรให้เกิดความเชื่อใจ มั่นใจในความปลอดภัย และการต้อนรับของเรา เสน่ห์ของประเทศไทยหรือ Soft Power ที่เรามีอยู่ จริง ๆ เรามีครบถ้วนที่ประเทศอื่นอาจจะไม่มี แต่เพียงแต่ว่าวันนี้ เรามีปัญหาและอุปสรรคอื่นมาบดบัง เราจึงต้องรีบเร่งนำเสนอเสน่ห์ของเราขึ้นมาให้เด่นชัดขึ้น 


ขณะที่การกระจายรายได้สู่เมืองรอง และกระตุ้นเที่ยวในประเทศเป็นเรื่องสำคัญ จะทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีการกระจายตัวไปยังเมืองรองให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจะกระจุกตัวอยู่แค่ 5-6 จังหวัดใหญ่ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นโรงแรมเชนจากต่างประเทศ ไม่ใช่ของคนไทย ขณะที่โรงแรมของคนไทยและผู้ประกอบการไทยอยู่ในต่างจังหวัดอีกมากมาย เราต้องไปให้ลึกและกระจายให้ทั่วถึง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ และการจ้างงานของไทยโดยตรง


ส่วนนักท่องเที่ยวไทยนั้น จากสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า จะยิ่งที่ทำให้คนไทยตัดสินใจไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่ค่าเงินอ่อน เช่น ญี่ปุ่น หรือจีน ดังนั้นจึงต้องหามาตรการหรือแพ็กเกจดี ๆ ในการดึงดูดหรือจูงใจให้คิดว่าการเที่ยวในเมืองไทยคุ้มกว่า เช่น โครงการคนละครึ่ง หรือมาตรการอื่น ๆ


อย่างไรก็ดี ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยังครอบคลุมคนจำนวนมากและหลากหลายอาชีพ หลายล้านคนที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยวจะได้รับประโยชน์โดยตรง และในภาคอื่น ๆ เช่น สภาอุตสาหกรรมฯ จะมีด้าน Creative Industry หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ถ้าโรงแรมดี ผู้ผลิตสบู่ ผ้าเช็ดตัว หรือสินค้าต่าง ๆ ที่ป้อนให้โรงแรมก็จะมีงานทำ ภาคการค้าก็เช่นกัน อุตสาหกรรม Creative Industry เชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ถ้าดีก็จะดีไปด้วยกัน


สำหรับโครงการ “ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” เป็นโครงการที่เจาะจงกับเรื่องการท่องเที่ยวโดยตรง นายเกรียงไกร มองว่า ถึงอย่างไรแล้วคนไทยก็ต้องท่องเที่ยว ถึงแม้จะประหยัดเงินในช่วงนี้ แต่ทุกคนก็ยังต้องพาครอบครัวไปเที่ยวเพื่อให้รางวัลกับตัวเอง ดังนั้นจึงต้องออกแบบให้สอดคล้องกับกำลังซื้อมากขึ้น


โดยจะต้องมีการออกแบบและวางแผนร่วมกับหน่วยงานในจังหวัดนั้น ๆ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หรือสภาหอการค้าจังหวัด เพื่อให้สามารถตอบสนองโจทย์ในแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุดที่สุด ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างเม็ดเงิน และสร้างการจ้างงานได้เป็นอย่างดี เพราะเครื่องจักรไม่กี่ตัวที่เป็น “Quick Win” หนึ่งในนั้นคือภาคการท่องเที่ยว


ประธาน ส.อ.ท.ระบุทิ้งท้ายว่า ตนเองมองว่า การจ่ายแบบคนละครึ่งจะช่วยได้มาก ทำให้ตัดสินใจง่าย เพียงแต่ว่าเราต้องคิดมากกว่าแค่การทำให้ราคาถูกลง เพราะวันนี้ คนไทยรุ่นใหม่ต้องการประสบการณ์ใหม่ ๆ สถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่เป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง