รีเซต

"กี่ชีวิต ถึงพอ?" ไฟไหม้รถบัสซ้ำรอย ถอดบทเรียน สู่ระบบ "ปลอดภัย"

"กี่ชีวิต ถึงพอ?" ไฟไหม้รถบัสซ้ำรอย ถอดบทเรียน สู่ระบบ "ปลอดภัย"
TNN ช่อง16
1 ตุลาคม 2567 ( 14:33 )
29

วันที่ 1 ตุลาคม 2567 จะถูกจารึกไว้เป็นวันแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการการศึกษาไทย เมื่อรถบัสนำนักเรียนจากโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี เกิดไฟไหม้อย่างรุนแรงบริเวณหน้าเซียร์รังสิต ถนนวิภาวดี กรุงเทพมหานคร ส่งผลให้มีนักเรียนเสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก จากจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด 44 คน ประกอบด้วยนักเรียน 38 คนและครู 6 คน เหตุการณ์นี้สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ปกครอง ครู และสังคมไทยอย่างมาก ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องในระบบความปลอดภัยของการเดินทางสำหรับนักเรียน และความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถโดยสารที่ใช้ในการทัศนศึกษาของสถานศึกษา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต


โศกนาฏกรรมซ้ำรอย รถนักเรียน บทเรียนที่ต้องจดจำ


น่าเศร้าที่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับรถนักเรียน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นหลายครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2558 รถปิกอัพรับจ้างรับส่งนักเรียนในอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เสียหลักลงข้างทางชนต้นไม้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10 คน หรือเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2567 รถบัสพานักเรียนจากโรงเรียนบ้านโนนโพธิ์ จังหวัดชัยภูมิ ชนท้ายรถบรรทุกอ้อยในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 47 ราย เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นบทเรียนราคาแพงที่สังคมไทยต้องเรียนรู้และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก


การถอดบทเรียนจากเหตุการณ์เหล่านี้ ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงหลายประการ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน เน้นย้ำว่าเราไม่ควรมองปัญหาเพียงแค่ด้านสภาพร่างกายของคนขับรถเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาให้ครอบคลุมทั้งระบบ ทั้งรถ คน และถนน ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญประกอบด้วย สภาพรถที่ไม่ปลอดภัย การบรรทุกเกินพิกัด พฤติกรรมคนขับที่ไม่เหมาะสม การขาดอุปกรณ์ความปลอดภัย และข้อจำกัดด้านงบประมาณที่ทำให้โรงเรียนต้องประหยัดค่าใช้จ่ายจนอาจส่งผลต่อความปลอดภัย


21.95% สูญเสียที่ไม่อาจยอมรับ! ปกป้องเด็กไทยจากอุบัติเหตุ


ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ Thai RSC ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของปัญหานี้ โดยพบว่าในปี 2567 มีแนวโน้มผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีสัดส่วนสูงถึง 21.95% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญในการเกิดอุบัติเหตุทางถนน 


เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอย นายนิกร จำนง ประธานมูลนิธิประชาปลอดภัย  และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางถนน ได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ครอบคลุมหลายมิติ ทั้งการปรับเพิ่มงบประมาณ การเข้มงวดมาตรการความปลอดภัย การเพิ่มระบบติดตาม และการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอเพิ่มเติมในการเข้มงวดการตรวจสภาพรถ การอบรมและควบคุมคนขับ การเพิ่มมาตรการความปลอดภัย และการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบ GPS และกล้องวงจรปิดในรถรับส่งนักเรียน


ถึงเวลาเปลี่ยน! รถนักเรียนต้องปลอดภัย


การแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องเร่งออกนโยบายและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ภาคเอกชนที่ต้องยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย สถานศึกษาที่ต้องให้ความสำคัญกับการคัดเลือกผู้ให้บริการรถโดยสารที่มีมาตรฐานสูง รวมถึงผู้ปกครองและชุมชนที่ต้องมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและสนับสนุนมาตรการความปลอดภัย


ท้ายที่สุด การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยให้เกิดขึ้นในสังคมไทยเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องเริ่มตั้งแต่การปลูกฝังจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับเด็กและเยาวชน ไปจนถึงการสร้างความตระหนักในหมู่ผู้ใหญ่ทุกคน การสูญเสียชีวิตของเด็กและเยาวชนจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ ทั้งในแง่ของทรัพยากรมนุษย์และผลกระทบทางจิตใจต่อครอบครัวและสังคม


ความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของโชคชะตา แต่เป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างและควบคุมได้ด้วยความร่วมมือของทุกคนในสังคม หวังว่าบทเรียนอันเจ็บปวดครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชนไทยอย่างแท้จริง และไม่ต้องสูญเสียชีวิตอันมีค่าอีกต่อไป


ภาพ Freepik / ต้น คนข่าวปราการ 

เรียบเรียงโดย : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN

อ้างอิง ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ Thai RSC / มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค / สสส. 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง