ชายแดนไทย–กัมพูชายังตึงเครียด กองทัพภาค 2 รับมือโดรน–ปืนใหญ่หลายพื้นที่

ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานภาพรวมสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ประจำวันที่ 21 ธันวาคม 2568 พบว่ายังคงมีความตึงเครียดต่อเนื่องหลายจุด โดยฝ่ายกัมพูชาใช้อากาศยานไร้คนขับและอาวุธยิงสนับสนุน ขณะที่ฝ่ายไทยวางกำลังตั้งรับ ยึดควบคุมภูมิประเทศสำคัญ และตอบโต้ตามสถานการณ์อย่างรัดกุม

พื้นที่ช่องบก ตรวจพบการใช้อากาศยานไร้คนขับของฝ่ายกัมพูชาบินจากทิศใต้สู่ทิศเหนือในระดับความสูงประมาณ 1–1.5 กิโลเมตร คาดว่าเป็นการตรวจการวางกำลัง ฝ่ายไทยคงการตั้งรับและเตรียมความพร้อมในการตอบโต้

พื้นที่โดนตรวล ซำแต สัตตะโสม และช่องตาเฒ่า ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธเครื่องยิงลูกระเบิด ปืนใหญ่ และโดรนทั้งแบบตรวจการณ์และโดรนพลีชีพ FPV ฝ่ายไทยเสริมความมั่นคงแนวรับและใช้ปืนใหญ่ยิงตอบโต้ตามเหตุการณ์

พื้นที่ผามออีแดงและห้วยตามาเรีย พบการโจมตีเบาบางด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด ปืนใหญ่ และโดรนทิ้งระเบิด ฝ่ายไทยใช้อาวุธยิงสนับสนุนทำลายเป้าหมายตามสถานการณ์

ขณะที่พื้นที่ ปราสาทตาควาย และบริเวณ เนิน 350 ยังคงเป็นจุดปะทะสำคัญ ฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธปืนเล็กยาว เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนใหญ่ และโดรน FPV อย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยวางกำลังตั้งรับอย่างมั่นคงและใช้ปืนใหญ่ตอบโต้เพื่อรักษาการควบคุมพื้นที่

จากเหตุปะทะในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ส่งผลให้ จ.ส.อ.สำเริง คลังประโคน และ พลทหาร ภานุพัฒน์ เสาร์สา กำลังพลจากกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ ปัจจุบันได้อัญเชิญร่างออกจากพื้นที่การรบ และจัดพิธีกองทหารเกียรติยศส่งกลับภูมิลำเนาเรียบร้อย

ในวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวงอาบศพแก่กำลังพลทั้งสอง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ กองทัพภาคที่ 2 ขอสดุดีวีรกรรมของทหารกล้าผู้เสียสละ รวมถึงกำลังพลทั้ง 19 นาย ที่พลีชีพเพื่อปกป้องอธิปไตยและผืนแผ่นดินไทย