เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

#ภาวะหุ้น #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซียไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Up ในกรอบ 1,310-1,330 จุด และมีโอกาสกลับมาแข็งแกร่งกว่าภูมิภาคได้ต่อเนื่อง โดยตลาดฝั่งเอเชียตะวันออกถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตาม Nvidia ที่มีราคาหุ้นปรับตัวลงแรง รวมถึงภาพรวมต่างประเทศยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่ชัดเจนเข้ามากระตุ้น ส่วนปัจจัยที่หนุนตลาดหุ้นไทยในระยะนี้คือมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนที่จะยกระดับการลงทุนในกองทุน TESG โดยปรับเพิ่มวงเงินลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีจาก 1 แสนบาทเป็น 3 แสนบาท และลดระยะเวลาถือครองลงจาก 8 ปีเหลือ 5 ปี รวมถึงขยาย Universe ในแง่จำนวนหุ้นในการเข้าลงทุน
โดยรวมภาครัฐคาดหวังเห็นเม็ดเงินลงทุนราว 3 หมื่นลบ. ซึ่งเชื่อว่าอาจช่วยดัชนีได้ระดับ 75-80 จุด (ทุก 1 หมื่นลบ.จะกระทบ SET 25-27 จุด) รวมถึงมีแนวคิดจะนำกองทุนวายุภักษ์กลับมาเปิดขายให้ลงทุนอีกครั้ง ขณะที่ฝั่ง Downside ในเดือน ก.ค. เป็นต้นไปจะจำกัดมากขึ้นจากมาตรการ Uptick ที่จะมีผลบังคับใช้ โดยรวมจึงมองดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้น อย่างไรก็ตามปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองโดยเฉพาะคดีนายกฯจะยัง Overhang จนถึงครึ่งหลังของเดือน ก.ค. เป็นอย่างน้อยหากคำวินิจฉัย ซึ่งหากออกมาเป็นบวกคาดจะหนุนให้ดัชนีกลับไปโซนระดับ 1,360-1,400 ได้อีกครั้ง
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีแนวโน้มเติบโตแกร่งกว่าตลาดและมี ESG Rating สูง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน มิ.ย.: CHG, CPALL, ITC, KCG, TFG
FSSIA Portfolio : AOT, BDMS, CPALL, CPN, GPSC, KCG, SHR, SJWD, TIDLOR, TU
หุ้นเด่นวันนี้ : CPALL
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 79 บาท
• โมเมนตัมผลการดำเนินงาน 2Q24 คาดว่ายังสดใสจาก SSSG ทั้ง 7-Eleven Makro และ Lotus’s ที่ยังเป็นบวกได้ในเดือน เม.ย.-พ.ค. แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีกอื่นๆที่ส่วนใหญ่ติดลบ ขณะที่ Margin โดยเฉพาะในฝั่ง CVS คาดว่ายังทำได้ดีต่อเนื่อง เบื้องต้นจึงยังมีลุ้นกำไร 2Q24 จะเติบโต q-q และ y-y
• เราคาดกำไรปี 2024 ที่ 2.36 หมื่นลบ. +30% y-y กลับมาทำ New High ดีกว่าช่วงก่อนโควิด ปัจจุบันเทรด PER เพียง 21 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยยะ และเป็นหุ้นที่ได้ SET ESG Rating ระดับ AAA
• แนวรับ 54-53.50 บาท แนวต้าน 57-57.50//60-61 บาท
**บล.ดาโอ มองตลาดรับรู้มาตรการของรัฐบาล ที่จะหนุนให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นพ้นจากจุดต่ำสุดมาได้ มองเป้า 1330 จุด โดยวานนี้ คลังหารือร่วมกับก.ล.ต.-ตลท. ดัน "มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน" จะมีการอัพเกรดกองทุน "Thai ESG" ลดระยะการถือครองเหลือ 5 ปี เพิ่มกลุ่มหุ้นที่จะลงทุนได้ และสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพิ่มลดหย่อน 3 แสนบาท .... เรามองว่า นี่คือเงื่อนไขที่ดีที่สุดสำหรับผู้ถือกองทุนประหยัดภาษี คือถือเพียง 5 ปี เรามองหุ้นยอดนิยม weight อยู่ในกองทุน ThaiESG 3 ตัว คือ CPALL, PTT, AOT
ผลบวกต่อตลาดคือ คนจะหยุดขาย มีการ cover short และจะเข้ามาเก็งกำไรหุ้นที่ถูกคาดว่าจะนำเข้ามาในกองทุน ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ตามที่ได้ประเมินไว้ว่า ดัชนีฯ ในช่วง 1 สัปดาห์ข้างหน้า น่าจะขึ้นไปได้ถึง 1330 จุด ......ส่วนมาตรการอื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกพูดถึงวานนี้ คือมาตรการที่อยู่อาศัย หากมีการออกมาตรการจริง หุ้นที่เราชอบมากที่สุด คือ SPALI ที่ให้ Dividend Yield สูง (เงินปันผลคาดการณ์ปีนี้ @1.35 หรือ yield 7%)
• นายกฯ สั่ง ททท. เตรียมแผนกระตุ้นท่องเที่ยวรับมือ Low Season ช่วง Q2-Q3/67 ทำแผนท่องเที่ยวราย segment ตอบโจทย์แต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลาง .... เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มโรงแรม โกยรายได้ช่วง Low Season และกลุ่มสายการ
• ตลาดต่างประเทศ ยังไปไม่เป็น มีแรงขายทำกำไรออกมาในหลายๆตลาด (สหรัฐฯ-จีน-ญี่ปุ่น-ยุโรป) มีความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองฝรั่งเศส ราคาหุ้นขึ้นมามาก ขณะที่การตีความเรื่องการลดดอกเบี้ยของ Fed มีความหลากหลาย เป็นผลให้ การเคลื่อนย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์เสี่ยงลดลง แต่ดีต่อ ดอลล่าร์ และทองคำ ...... ตัวแปรต่างประเทศ ตัวหลักๆ ที่ต้องตามรายวัน คือ ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้น Tech (ถ้าราคาลง จะมีผลต่อหุ้นอีเล็คทรอนิคส์ของไทย)
• สงคราม อิสราเอล-ฮามาส ยังกดดันตลาดหุ้น และราคาน้ำมัน หลังอิสราเอลมีการโจมตีเลบานอน และกาซา อีกทั้งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีอิหร่าน ปลายสัปดาห์นี้
• Event สำคัญๆ วันนี้ : ประชุม ครม.
Strategy
• ดัชนีฯ เลือกที่จะขึ้นมายืนเหนือ 1305 จุด โดยมีข่าวบวกสนับสนุน ทำให้มีโอกาส rebound หรือ reversal ได้สูง (20-30 จุด) แนะนำสะสมหุ้นเพิ่ม หรือถือหุ้นได้นานขึ้น
• นักลงทุนที่จะสะสมหุ้นที่เป็น high dividend โดยเรามีหุ้นให้เลือก 2 ตัว คือ PTT (คาดจ่ายเงินปันผลปีนี้ @2.0 บาท ; Dividend Yield 6.2%) และหุ้น SCB (คาดจ่ายเงินปันผลปีนี้ @6-9 บาท ; Dividend Yield 6-8%)
• เรารวมชุดของหุ้นที่แนะนำ 4 ตัว และยังให้ถือต่อ(เมื่อวาน) หากวันนี้ ราคาขึ้นแรง แนะนำให้ขายทำกำไร ประกอบด้วย ICHI, BA, NER, GFPT
• เราจัด list ของหุ้นที่ราคาลงมา เพื่อรับกับการเก็งเรื่องมาตรการเศรษฐกิจรัฐบาล ว่าอาจออกมาบวกต่อตลาดหุ้น โดยแยกเป็น หุ้นใน SET 2 ตัว คือ CPAXT, COM7 และหุ้นใน MAI อีก 2 ตัว คือ XO และ BBIK
• หุ้นในพอร์ตวันนี้ นำ AOT เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ต ประกอบด้วย AOT(10%), CPAXT(10%)
Technical : SNNP, 24CS
**บล.คิงส์ฟอร์ด วางแนวรับดัชนี SET ที่ 1,305 – 1,310 แนวต้าน 1,320 – 1,330 ประเมินดัชนีมีโอกาส Sideway Up จากสภาพคล่องในตลาดปรับดีขึ้น หลังการปรับเกณฑ์กองทุน ThaiESG คาดจะมีเม็ดเงินใหม่เข้าตลาดปีนี้ได้ราว 5 หมื่น ลบ. แนะนำทยอยซื้อกลุ่มที่อาจได้ประโยชน์จากเม็ดเงิน TESG เช่น กลุ่มค้าปลีก CPALL,CRC,BJC /อาหาร CPF,GFPT,ICHI / ท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW, MINT
NEO* (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 63.00 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 2Q67 มีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และกำลังซื้อของผู้บริโภคกลุ่มรายได้ระดับกลาง-บนซึ่งยังคงอยู่ในระดับที่ดี และจากสภาพอากาศในฤดูร้อนย่างสู่ฤดูฝน ผู้บริโภคมีความต้องการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลสุขภาพ โดยคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะดีต่อเนื่องจาก 1Q67 ที่ระดับ 46% จากการออกสินค้ากลุ่ม Premium / Premium Mass ที่มีมาร์จิ้นสูง และรักษาสัดส่วนของสินค้ากลุ่ม Personal Care และ Baby & Kids ที่มีมาร์จิ้นสูงกว่ากลุ่ม Household และวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 67 ในระดับ Double Digit จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 50-100 SKU ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 67-68 ที่ 1.05 พันล้านบาท +27%YoY และ 1.13 พันล้านบาท +8%YoY
SAV (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท) กำไรสุทธิงวด 1Q67 อยู่ที่ 94 ลบ., +40.68%QoQ, +207.30%YoY ปัจจัยบวกหลัก คือ จำนวนเที่ยวบินรวมที่ยังมี Gap การฟื้นตัวPost Covid-19 ออกมาที่ +9%YoY +3%QoQ จากแรงหนุนของเที่ยวบินนานาชาติที่ +26%YoY +6%QoQ ด้านการดำเนินงาน 2Q67 นี้ เบื้องต้นคาดว่าจะยังเป็นบวกฟื้นตัวต่อได้ YoY และมีปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจาก AirAsia Cambodia ที่เริ่ม operate ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา และ ช่วงเดือนมิ.ย.นี้ Angkor AIR เปิดให้บริการเส้นทางบินใหม่ระหว่าง นิวเดลี และ พนมเปญ ทั้งนี้ ปัจจุบัน เราคาด กำไรสุทธิ SAV ในปี67 ที่ 507 ลบ.(+31%YoY)