วิกฤตชิปหน่วยความจำ! เมื่อ "AI" แย่งชิงชิปจาก "มือถือ" และ "คอมพิวเตอร์" ราคาอุปกรณ์ไอทีทั่วโลกเตรียมพุ่งแรงปีหน้าเป็นต้นไป
ในช่วงปลายปี 2025 เป็นต้นไป โลกเทคโนโลยีกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่ในระบบนิเวศของเซมิคอนดักเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ชิปหน่วยความจำ" (Memory Chip) ปัญหาการขาดแคลนครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงวงจรปกติของตลาด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตอุปกรณ์และผู้บริโภคทั่วไป โดยคาดการณ์ว่าสถานการณ์อาจยืดเยื้อไปจนถึงปี 2027
หัวใจของปัญหาคือการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาชิป DRAM (Dynamic Random-Access Memory) เนื่องจากความต้องการจากศูนย์ข้อมูล AI (AI Data Centers) มีสูงกว่ากำลังการผลิตอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้เกิดภาวะอุปสงค์/อุปทานที่ไม่สมดุลอย่างรุนแรง
ต้นตอวิกฤต: เมื่อ AI กลายเป็นพระเอกที่กินรวบ
ตลาดชิปหน่วยความจำเคยมีวัฏจักร "รุ่งเรืองและตกต่ำ" สลับกันไปตามกลไกตลาด แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานและภาระงานด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI Workloads) อย่างก้าวกระโดด
AI ดึงทรัพยากรไปหมด: งานด้าน AI นั้นต้องการหน่วยความจำในปริมาณมหาศาล และที่สำคัญกว่านั้นคือมันต้องการ "ชิปหน่วยความจำแบบพิเศษ" ที่มีมาร์จิ้นสูง (High-margin Memory Solutions) เช่น:
- HBM (High-Bandwidth Memory): หน่วยความจำประสิทธิภาพสูงที่ใช้ในชิปประมวลผล AI (GPU) ของ Nvidia
- DDR5 ความจุสูง: หน่วยความจำสำหรับเซิร์ฟเวอร์ AI และองค์กรขนาดใหญ่
การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของผู้ผลิตชิป: ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่สามอันดับแรกของโลก ได้แก่ Samsung Electronics, SK Hynix, และ Micron Technology ถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนกลยุทธ์การผลิตครั้งใหญ่ พวกเขาได้โยกย้ายกำลังการผลิตและพื้นที่ในโรงงาน (Cleanroom Space) ที่มีจำกัด ไปสู่การผลิตชิ้นส่วน HBM และ DDR5 สำหรับตลาด AI โดยเฉพาะ
นี่คือ "เกมศูนย์รวม" (Zero-sum Game): ชิปทุกตัวที่ถูกนำไปใช้เพื่อสร้างสแตก HBM ให้กับเซิร์ฟเวอร์ AI ก็หมายถึงชิป LPDDR5X หรือ NAND Flash สำหรับมือถือและคอมพิวเตอร์ทั่วไปที่ลดลงไป การจัดลำดับความสำคัญนี้ทำให้ปริมาณชิปหน่วยความจำทั่วไป (General-purpose Memory) หายไปจากตลาดอย่างรวดเร็ว และทำให้ราคาพุ่งขึ้นทั่วทั้งกระดาน
ผลกระทบต่อตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Devices Market)
ผลจากความไม่สมดุลนี้มีสองด้านหลักคือ: ราคาชิป DRAM และ NAND/SSD พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และ ปริมาณสินค้าในตลาดมีจำกัด ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีอย่างหนัก
วิกฤตในตลาดสมาร์ทโฟน (Smartphones)
ตลาดสมาร์ทโฟน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิต Android กำลังเผชิญกับภัยคุกคามครั้งใหญ่ในปี 2026 แนวโน้มที่เคยมีมานานนับทศวรรษของการนำสเปกระดับเรือธงมาใส่ในสมาร์ทโฟนราคาประหยัดกำลังจะสิ้นสุดลง
- ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น: สำหรับสมาร์ทโฟนระดับกลาง ชิปหน่วยความจำคิดเป็นสัดส่วน 15-20% ของต้นทุนวัสดุทั้งหมด (BOM) การที่ราคาชิปพุ่งขึ้น ทำให้ผู้ผลิตไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ขึ้นราคาอย่างมีนัยสำคัญ หรือ ลดสเปกหน่วยความจำลง
- ผู้แพ้คือผู้เล่นตลาดล่าง: ผู้ผลิตที่เน้นตลาดราคาประหยัดและมีกำไรต่อหน่วยต่ำ (Thin Margins) เช่น Xiaomi, Realme, Oppo, Vivo หรือ Transsion จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด และต้องผลักภาระต้นทุนส่วนใหญ่ไปให้ผู้บริโภค
- ผู้รอดคือยักษ์ใหญ่ (Apple และ Samsung): แบรนด์เหล่านี้มีเงินทุนสำรองสูงและมีอำนาจในการเจรจาทำสัญญาซื้อขายหน่วยความจำล่วงหน้าระยะยาว 12-24 เดือน ทำให้สามารถป้องกันความเสี่ยงด้านซัพพลายได้ดีกว่า แต่ถึงกระนั้น รุ่นเรือธงในปี 2026 ก็อาจจะไม่มีการเพิ่ม RAM (เช่น ยังคงอยู่ที่ 12GB แทนที่จะขยับไป 16GB) เพื่อควบคุมต้นทุน
บทสรุปตลาดสมาร์ทโฟน: IDC คาดการณ์ว่าตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกในปี 2026 อาจจะหดตัวลง 2.9% ในกรณีที่สถานการณ์ไม่รุนแรง (Moderate Scenario) หรือหดตัวรุนแรงถึง 5.2% ในกรณีเลวร้ายที่สุด พร้อมกับการปรับขึ้นของราคาขายเฉลี่ย (ASP) ทั่วโลกที่อาจสูงถึง 6-8%
วิกฤตในตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC)
ตลาด PC กำลังเจอกับ "พายุสมบูรณ์แบบ" เพราะปัญหาขาดแคลนชิปเกิดขึ้นพร้อมกับสองปัจจัยสำคัญคือ การสิ้นสุดอายุการใช้งานของ Windows 10 (ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนเครื่องครั้งใหญ่) และ การผลักดันตลาด AI PC
- ราคาที่ปรับขึ้นแรง: ผู้ผลิต PC รายใหญ่ เช่น Lenovo, Dell, HP, Acer และ ASUS ได้ส่งสัญญาณเตือนลูกค้าแล้วว่าจะมีการปรับขึ้นราคาสินค้าและสัญญาซื้อขายในครึ่งหลังของปี 2026 ประมาณ 15-20%
- ผู้เสียหายรายย่อย: ผู้ประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์เอง (DIY Gamers) และผู้ผลิต PC แบรนด์ท้องถิ่น จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะไม่มีอำนาจต่อรองในการซื้อชิป ทำให้แบรนด์ใหญ่มีโอกาสแย่งส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มเกมมิ่งพีซีจากผู้ค้ารายย่อยได้
- ภัยคุกคามต่อ AI PC: การมาของ AI PC (คอมพิวเตอร์ที่มี NPU) ต้องการ RAM ขั้นต่ำสูงถึง 16GB หรือแม้กระทั่ง 32GB ขึ้นไป การที่ชิป RAM มีราคาแพงและขาดตลาดในจังหวะนี้ จะทำให้ AI PC มีราคาสูงขึ้นอย่างมาก หรือผู้ผลิตอาจต้องลดสเปก RAM ลง ซึ่งสวนทางกับความต้องการของตลาดที่กำลังต้องการ RAM เพิ่มเพื่อรัน AI ในเครื่อง
บทสรุปตลาด PC: IDC คาดการณ์ว่าตลาด PC อาจหดตัว 4.9% (กรณีกลาง) หรือสูงถึง 8.9% (กรณีเลวร้าย) ในปี 2026 และราคาขายเฉลี่ยอาจเพิ่มขึ้น 6-8%
สรุป : สิ้นสุดยุค "ชิปราคาถูก"
สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2025 และต่อเนื่องถึงปี 2027 ไม่ใช่แค่การขาดแคลนชั่วคราว แต่คือการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์ที่กำลังจัดลำดับความสำคัญของทรัพยากรซิลิคอนทั่วโลกใหม่ จากยุคที่การผลิตชิปเพื่อสมาร์ทโฟนและ PC เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สู่ยุคที่ AI เซิร์ฟเวอร์กลายเป็นผู้กุมอำนาจตลาด
สำหรับผู้บริโภคทั่วไปและภาคธุรกิจ นี่คือสัญญาณชัดเจนว่า ยุคสมัยของหน่วยความจำและพื้นที่จัดเก็บข้อมูลราคาถูกและอุดมสมบูรณ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว อย่างน้อยก็ในระยะกลาง ปี 2026 กำลังจะเป็นปีที่เทคโนโลยีมีราคาแพงขึ้น ไม่ได้เกิดจากความต้องการที่พุ่งสูงของผู้บริโภค แต่เกิดจากการถูกจำกัดด้วยปริมาณซัพพลายที่ถูก AI ดึงไปใช้ทั้งหมดครับ
Photo Credit : AI Generated
Credit : idc.com