เปิดแผนลวงเช่ารถ 24 คัน สูญ 12 ล้าน ช่องโหว่สัญญาธุรกิจ

ตำรวจทางหลวงเปิดปฏิบัติการ Fast Fraud Furious แกะรอยขบวนการหลอกเช่ารถกระบะ 24 คัน สูญกว่า 12 ล้านบาท เผยกลอุบายใช้นิติบุคคลบังหน้าเจาะสัญญาเช่า
เปิดแผนลวงเช่ารถ 24 คัน สูญ 12 ล้าน กับช่องโหว่สัญญาธุรกิจที่เจ้าของไม่เคยรู้ตัว
เรื่องราวของ “ขบวนการหลอกเช่ารถกระบะ” ที่ก่อเหตุในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานคร โดยใช้นิติบุคคลจดทะเบียนถูกต้องบังหน้า ดำเนินการด้วยเอกสารสัญญาเช่าถูกต้องตามกฎหมาย ทว่ากลับตั้งต้นด้วยเจตนาทางอาญา กลายเป็นคดีสูญหายรถยนต์ถึง 24 คัน มูลค่ากว่า 12 ล้านบาท และเผยให้เห็นจุดอ่อนในกระบวนการทำสัญญาทางธุรกิจของภาคเอกชน
ปฏิบัติการที่ว่านี้ มีชื่อว่า “Fast Fraud Furious” ดำเนินการโดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) และกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของ
• พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
• พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง
และมีเจ้าหน้าที่ที่ร่วมสืบสวนและแถลงข่าวหลักคือ
• พ.ต.อ.ภคพล สุชล ผกก.2 บก.ทล.
• พ.ต.ท.กฤตย์ ธีรเวศย์สุวรรณ สวญ.ส.ทล.2 กก.2 บก.ทล.
แผนการหลอกเช่าที่ดูเหมือนถูกต้องตามกฎหมาย
ต้นเรื่องเริ่มจากการแจ้งความของเจ้าของบริษัทรถเช่าแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ หลังพบว่ารถกระบะ 6 คันที่ปล่อยเช่าเมื่อเดือนมกราคม 2568 ถูกถอดสัญญาณ GPS ทันทีหลังส่งมอบ และไม่สามารถติดต่อผู้เช่าได้อีกเลย
รูปแบบการหลอกลวงเริ่มต้นจากชายคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นตัวแทนจาก “บริษัทแห่งหนึ่ง” ซึ่งจดทะเบียนจริงในระบบกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีที่ตั้งอยู่ในย่านลำผักชี เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร
ชายคนดังกล่าวเสนอเช่ารถกระบะ 6 คัน ระยะเวลา 5 ปี เดือนละ 19,000 บาท พร้อมพาผู้เสียหายไปดูสถานที่ประกอบกิจการจริง และส่งผู้หญิงอีกคนมาดำเนินการเซ็นสัญญาในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของนิติบุคคล พร้อมชำระค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเงินสด
สัญญาที่มีเจตนาทางอาญา ช่องโหว่ที่เอกสารปิดไม่มิด
แม้จะดูเป็นการทำสัญญาทางธุรกิจตามกระบวนการปกติ แต่องค์ประกอบของอาชญากรรมกลับปรากฏใน “เจตนาแฝง” ของขบวนการนี้ กล่าวคือ มีการเตรียมผู้ร่วมขบวนการหลายคน โดยแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน อาทิ
• ผู้ใช้ชื่อบุคคลปลอมในการติดต่อเจรจา
• ผู้มารับรถในฐานะตัวแทนกรรมการ
• ผู้รับผิดชอบชำระเงินสดผ่านเคาน์เตอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบทางการเงิน
ซึ่งรูปแบบนี้ผิดฐาน “ลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 และ 343 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปี และปรับไม่เกิน 140,000 บาท
ถอด GPS = ปลายทางโจรกรรม
ภายใน 2 วันหลังรับรถ ผู้เสียหายพบว่า GPS ของรถทั้งหมดถูกถอดออก พร้อมกับการขาดการติดต่อกับผู้เช่าในทันที ซึ่งกลายเป็นเบาะแสสำคัญให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงเริ่มการสืบสวนย้อนกลับ
การตรวจสอบพบว่าขบวนการนี้ก่อเหตุในพื้นที่อื่นอีกหลายแห่ง ได้แก่ สน.ทองหล่อ (4 คัน), สน.พหลโยธิน (2 คัน), สน.ลำผักชี (2 คันเพิ่มเติม) และมีความพยายามหลอกอีก 10 คันในพื้นที่ สน.มักกะสัน แต่เจ้าหน้าที่เข้ายับยั้งได้ก่อนการส่งมอบรถ
รวมรถที่หลอกเช่าทั้งหมด 24 คัน
• ได้รถไปแล้ว: 14 คัน
• ยับยั้งทัน: 10 คัน
รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 12 ล้านบาท
บทเรียนสำคัญ ทำไมเจ้าของรถถึงตกเป็นเหยื่อ
ผู้เสียหายทั้งหมดระบุว่า พวกเขาเห็นว่านิติบุคคลที่มาติดต่อเช่ารถมีเอกสารครบ มีหนังสือมอบอำนาจ ถูกต้องตามรูปแบบกฎหมาย และยังได้ชำระเงินล่วงหน้า จึงไม่มีข้อกังขา
แต่การไม่พบตัวกรรมการบริษัทจริง ไม่ตรวจสอบฐานะทางบัญชีของบริษัท และไม่ตรวจสอบภูมิหลังของบุคคลที่ทำธุรกรรม ล้วนเป็นช่องว่างสำคัญ
คำแนะนำจากตำรวจทางหลวง
พ.ต.ท.กฤตย์ ธีรเวศย์สุวรรณ สารวัตรใหญ่ ส.ทล.2 กก.2 บก.ทล. ระบุว่า ธุรกิจให้เช่ารถควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้เพื่อป้องกันความเสียหาย
1. ตรวจสอบสถานะนิติบุคคลผ่านระบบของ DBD
2. ขอดูตัวจริงของกรรมการผู้มีอำนาจ
3. หลีกเลี่ยงการรับเงินสดโดยไม่มีหลักฐานการโอน
4. อย่าทำสัญญากับบุคคลที่ไม่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้
5. หากมีเหตุผิดปกติ เช่น ถอด GPS หรือขาดการติดต่อ ให้รีบแจ้งสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ทันที