เปิดโลกกระทิง‘บิทคอยน์’ สินทรัพย์ลงทุนแห่งอนาคต
กําลังผ่านไตรมาสแรกเข้าสู่ไตรมาสสองของปี 2564 ซึ่งหลายเดือนที่ผ่านมาสำหรับนักแสวงโชคจากการลงทุนในตลาดลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ปี 2564 น่าจะปีทองแห่งการลงทุนอีกปี สะท้อนจากสินทรัพย์หลายตัวที่ทยอยปรับดีขึ้นและโดดเด่นอย่างมีนัยยะ หลังจากปี 2563 เจ็บตัวกันไม่น้อย เพราะตลาดการลงทุนสินทรัพย์ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 ส่งผลให้เกิดภาวะผันผวนรุนแรง และมูลค่าสินทรัพย์ปรับลดฮวบในช่วงสั้นๆ
หนึ่งในสินทรัพย์ที่ปรับขึ้นมาได้อย่างร้อนแรง คือ บิทคอยน์ (bitcoin) สกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากสุด ราคาล่าสุด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2564 อยู่ที่ 1,803,289.97 บาทต่อเหรียญ หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ราคาบิทคอยน์ที่เคลื่อนไหวอยู่ที่ 2 แสนบาทเศษเท่านั้น โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ราคาบิทคอยน์ได้ปรับขึ้นทะลุ 1 ล้านบาทต่อเหรียญ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนักขุดเหรียญ ก่อนจะไต่ระดับและทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการคืนชีพให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอีกครั้ง
⦁ต้นกำเนิดเงินดิจิทัล
บิทคอยน์สามารถเรียกได้ว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลก ที่ใช้เทคโนโลยี “บล็อกเชน” (Blockchain) สร้างขึ้นโดยบุคคลหรือกลุ่มคนที่ไม่มีใครรู้จักในช่วงต้นปี 2552 ก่อนจะมีการซื้อขายขึ้นจริงในปี 2553 ซึ่งเป็นการซื้อพิซซ่า 2 ถาด ในเมือง Florida ด้วยเงิน 10,000 บิทคอยน์ หลังจากนั้นก็ทำให้บิทคอยน์ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการหาบิทคอยน์ทำได้แค่รูปแบบเดียวผ่านการขุดเท่านั้น และความพิเศษคือ มีเพียง 21 เหรียญในโลกนี้
ความต้องการบิทคอยน์ มีเข้ามามากขึ้น หลังจากช่วงปลายตุลาคมปีที่ผ่านมา บริษัท Paypal บริษัทชำระเงินยักษ์ใหญ่มีผู้ใช้งานกว่า 345 ล้านบัญชีทั่วโลก ได้ประกาศรับชำระซื้อขาย คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ผ่าน Paypal ได้แล้ว ทำให้โอกาสในการซื้อขายแลกเปลี่ยนบิทคอยน์มีความง่ายขึ้น ตามมาด้วย บริษัทแอปเปิลเพย์ (Apple Pay) หนึ่งในบริการชำระเงินผ่านมือถือ ที่มียอดผู้ใช้งานเกือบ 400 ล้านบัญชีทั่วโลก ก็ประกาศเปิดให้นักลงทุนสามารถซื้อบิทคอยน์ และคริปโทเคอร์เรนซี ผ่านแอพพลิเคชั่นได้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้น
⦁นักลงทุนไทยสนใจเพิ่ม
อนาคตจากนี้เป็นอย่างไร เอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล กล่าวกับ “มติชน” ว่า ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีถือว่าเติบโตได้ดีมากขึ้นในประเทศไทย โดยขณะนี้มีลูกค้าเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 3,000-5,000 บัญชีต่อวัน ประกอบกับเริ่มเห็นการเข้ามาเล่นในหลายองค์กรใหม่ อาทิ ธนาคารกสิกรไทย ที่ได้จัดตั้งบริษัท คิวบิกซ์ ดิจิทัล แอสเซท จำกัด โดยกสิกรไทยถือหุ้น 100% ผ่านบริษัท กสิกร เอกซ์ จำกัด ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย
⦁แนวโน้มราคายังพุ่งต่อได้
ทิศทางราคาบิทคอยน์ ขณะนี้อยู่ในช่วงพักฐาน หลังจากเข้าสู่ภาวะ ตลาดกระทิง หรือตลาดที่เป็นขาขึ้น ซึ่งผ่านมาได้เพียง 3-4 เดือนเท่านั้น จึงมีเวลาอีก 7-8 เดือน ที่ยังสามารถไปต่อได้ ทำให้คาดว่านักลงทุนจะเข้ามามากขึ้น รวมทั้งยังมีปัจจัยบวกหนุนให้ราคาไปต่อคือ ธนาคารกลางสหรัฐ ไม่ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะเห็นว่าบิทคอยน์ตอบรับด้วยกันปรับขึ้นกว่า 5% หลังจากนั้น เพราะนักลงทุนประเมินแล้วว่าเมื่อซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ แล้วผลกำไรมีไม่มากนัก ก็โยกเม็ดเงินมาลงทุนในสินทรัพย์อื่นทดแทน ซึ่งบิทคอยน์เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่เพิ่มเข้ามา
ปัจจัยบวกของบิทคอยน์หลักๆ เป็นมูลค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลง รวมถึงสหรัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ วงเงินกว่า 1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินที่ถืออยู่จะลดลง นักลงทุนจึงต้องมองหาสินทรัพย์ในการลงทุนใหม่ ที่เมื่อถือครองแล้วมูลค่าจะไม่ลดลง เพื่อป้องกันไม่ให้เม็ดเงินในมือที่มีเท่าเดิม แต่มูลค่าลดลง ซึ่งสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์สถานการณ์แบบนี้ มีเพียงทองคำและบิทคอยน์เท่านั้น
ส่วนปัจจัยกดดัน คือ นโยบายของรัฐบาลในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อาทิ สหรัฐ ว่าจะมีการกำหนดนโยบายการเงินอย่างไร จะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ และมีการผลิตเงินใส่ในระบบเพิ่มขึ้นอีกเท่าใด รวมถึงปัจจัยกดดันเฉพาะตัวของบิทคอยน์เอง ที่ราคาปรับขึ้นมาสูงมากแล้วในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนที่จะเข้ามาในตอนนี้ ต้องเข้าใจว่าราคาไม่ได้อยู่ในระดับต่ำเหมือนช่วงแรกๆ แล้ว แม้ราคาจะยังมีแนวโน้มปรับขึ้นได้ต่อ แต่ก็มีโอกาสปรับลดลงได้ด้วย เนื่องจากราคาปรับขึ้นมาสูงแล้ว นักลงทุนที่ต้องการขายทำกำไรออกมาก็มีมาก ซึ่งการขายทำกำไรอาจกดดันการปรับขึ้นได้
⦁นำมาใช้ในชีวิตจริงยังไม่ง่าย
เขากล่าวต่อว่า บิทคอยน์ไม่ได้เป็นสกุลเงินเหมือนคริปโทเคอร์เรนซี แต่บิทคอยน์เป็นที่เก็บมูลค่าเงิน ที่มีแนวโน้มว่าหากเก็บเงินไว้ในบิทคอยน์ มูลค่าจะไม่ลดลง สะท้อนได้จาก 12 ปีที่ผ่านมา หากนักลงทุนมีการลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง ก็จะได้กำไรส่วนต่างของราคาที่ปรับขึ้นไปแบบมหาศาล ทำให้โอกาสในการต่อยอดบิทคอยน์ นำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของไทย ยังไม่มีโอกาสที่จะสามารถทำได้ แม้จะมีนำร่องในบางโมเดลแล้วในขณะนี้ กับการนำมาจ่ายค่าบริการ แต่ก็ยังไม่ได้แพร่หลายนักในแง่ของผู้ใช้งาน เพราะราคาบิทคอยน์ยังปรับขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนจึงอยากเก็บไว้เป็นบิทคอยน์มากกว่าจะแปลงออกมาเป็นเงินใช้ เพื่อใช้จ่ายจริง
การเคลื่อนไหวล่าสุดในตลาดนี้ กรณี แพลตฟอร์ม Terra ที่ได้ออกเหรียญดิจิทัล THT มา และมีการเทียบค่าเงิน เป็นหน่วยบาท ซึ่งหากมีการนำมาใช้เป็นการทั่วไป จะเกิดเงินบาทขึ้นอีกหนึ่งระบบในโลก ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาเตือนว่า ในทางกฎหมาย เหรียญดิจิทัล THT เป็นวัตถุหรือเครื่องหมายแทนเงินตรา ตามมาตรา 9 แห่ง พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.2501 ที่ระบุว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำ จำหน่ายใช้ หรือนำออกใช้ซึ่งวัตถุหรือเครื่องหมายใดๆแทนเงินตรา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี” ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทำให้โอกาสในการแปลงมาใช้ยังไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
⦁เทียบอนาคตประเภทสินทรัพย์
หากเปรียบเทียบสินทรัพย์ในการลงทุน อาทิ ทองคำ เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความผันผวน แต่เนื่องจากตอนนี้ราคาทองคำปรับขึ้นสูงมากแล้ว ความน่าสนใจจึงลดลง ส่วนหุ้น มีการเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่ก็ปรับระดับขึ้นมาสูงมากแล้ว ทำให้การปรับขึ้นเริ่มจำกันแล้วเช่นกัน โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังเงียบอย่างต่อเนื่องอีก 1 ปี ตราบใดก็ตามที่โควิด-19ยังอยู่ ซึ่งต้องใช้เวลาในการรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา จึงประเมินว่าตอนนี้สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นสินทรัพย์ที่กำลังพุ่งขึ้น เพราะอยู่ในภาวะตลาดกระทิงพอดี ซึ่งเชื่อว่าในไตรมาส 2/2564 สินทรัพย์ดิจิทัลจะเติบโตมากที่สุด ทำให้เม็ดเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) จะไหลเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
การลงทุนตัวบิทคอยน์ มีความเหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง เพราะเมื่อมีโอกาสปรับขึ้นได้สูง โอกาสปรับลดลงเพื่อพักฐานก็ยังมีอยู่ นักลงทุนจึงต้องบริหารจัดการความเสี่ยงให้ได้ และไม่ควรลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเกิน 10-20%เนื่องจากต้องยอมรับก่อนว่า บิทคอยน์ยังไม่สามารถจับต้องได้ เป็นเหรียญที่อยู่ในอากาศ ต้องขุดหาผ่านระบบอินเตอร์เน็ต แตกต่างจากการลงทุนอื่นๆ ที่สามารถเห็นตัวตนและจับต้องได้ ความเสี่ยงของการลงทุนจึงมีความแตกต่างกัน
คงต้องติดตามกันต่อว่า บิทคอยน์จะกลายมาเป็นการลงทุนโฉมใหม่ในอนาคต ที่จะตีคู่หรือแซงหน้าตลาดหุ้นตลาดทองได้อย่างไร