สส.แปรพักตร์ 7 เสียงสวนมติฝ่ายค้าน สะเทือนเกมในสภาฯ?

สส.แปรพักตร์ โผล่กลางสภา สะเทือนฝ่ายค้านมากกว่ารัฐบาล
แม้ผลการลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 จะออกมาอย่างขาดลอย รัฐบาลได้ไป 319 เสียง มากกว่ากึ่งหนึ่งอย่างสบายมือ แต่สิ่งที่สะเทือนวงการการเมืองจริงๆ ไม่ใช่ตัวเลขเหล่านี้ หากแต่เป็น “แรงสั่น” ที่เกิดจากภายในฝ่ายค้านเอง—เมื่อมี ส.ส.อย่างน้อย 7 คน โหวตสวนมติพรรค หันไปเทคะแนนให้รัฐบาล
เสียงแตกภายในฝ่ายค้าน ไม่เพียงเป็นรอยร้าวทางยุทธศาสตร์ หากยังสะท้อนว่าโครงสร้างความร่วมมือระหว่างพรรคการเมืองที่ตั้งใจทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล เริ่มมีรอยปริอย่างเงียบๆ
ฝ่ายค้านเริ่มหลุดมือ ฝ่ายรัฐบาลได้มากกว่าคะแนน
พรรคการเมืองฝ่ายค้านหลายพรรคได้ร่วมลงชื่อเสนอญัตติไม่ไว้วางใจในครั้งนี้รวม 166 คน จากจำนวน ส.ส.ฝ่ายค้านทั้งหมด 171 คน แต่ปรากฏว่าในวันลงมติกลับมีอย่างน้อย 7 คนที่ลงคะแนนสวนทิศทางพรรค โหวตไว้วางใจให้นายกรัฐมนตรีอย่างเปิดเผย สะท้อนความไม่เป็นเอกภาพที่เริ่มก่อตัวจากภายใน
ขณะเดียวกัน ยังมีสมาชิกสภาฯ จากฝ่ายค้านบางส่วนที่ขาดประชุม โดยไม่มีความชัดเจนว่ามีเหตุผลจากสุขภาพ หรือเป็นการหลีกเลี่ยงการเผชิญแรงกดดันจากการตัดสินใจส่วนตัว
ในทางกลับกัน รัฐบาลแทบไม่ต้องใช้พลังอะไรเพิ่มเติม ก็ได้คะแนนเกินความจำเป็นในการประคองตำแหน่ง ยิ่งกว่านั้น ยังได้ “แต้มทางจิตวิทยา” อย่างน้อยสองด้าน—หนึ่งคือภาพความมั่นคงที่ถ่ายทอดออกสู่สาธารณะ และสองคือสัญญาณว่าพลังดูดในทางการเมืองยังมีชีวิตอยู่ในระบบรัฐสภา
พรรคร่วมรัฐบาลก็มีระยะห่าง ไม่ใช่สมบูรณ์แบบ
ถึงแม้ฝ่ายรัฐบาลจะได้เสียงโหวตไว้วางใจแบบเบ็ดเสร็จ แต่ก็มีความเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่น่าสนใจจากพรรคร่วมบางพรรค โดยเฉพาะในส่วนที่มี ส.ส.เลือก “งดออกเสียง” แทนที่จะลงคะแนนไว้วางใจ ถือเป็นการแสดงจุดยืนก้ำกึ่ง ระหว่างความจำเป็นทางการเมืองกับความรู้สึกไม่เต็มใจทางอุดมการณ์
นี่อาจไม่ใช่การแยกตัวออกจากรัฐบาล แต่ก็เป็น “สัญญาณระยะห่าง” ที่ควรจับตา โดยเฉพาะเมื่อมาจากพรรคการเมืองที่มีประวัติยืนอยู่บนหลักการและความเป็นอิสระสูง
โฉมหน้าใหม่ของฝ่ายค้าน: เสียงไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน
ฝ่ายค้านในรอบนี้แม้จะรักษาคะแนนไม่ไว้วางใจได้ถึง 162 เสียง แต่เมื่อเทียบกับจำนวน ส.ส. ที่ลงชื่อเสนอญัตติเดิม 166 เสียง และจำนวน ส.ส.ฝ่ายค้านทั้งหมด 171 คน ย่อมต้องยอมรับว่ามีเสียงแตกออกอย่างน้อย 7 เสียง
นี่คือสิ่งที่ฝ่ายค้านต้องรับมือ—ไม่ใช่แค่แรงกดดันจากรัฐบาล หรือข้อจำกัดในการอภิปราย แต่คือความเปราะบางของพรรคการเมืองร่วม ที่อาจมีทิศทาง เป้าหมาย และแรงจูงใจต่างกันมากกว่าที่เคยประเมินไว้
เกมใหม่เริ่มขึ้นหลังลงมติ
เมื่อผลโหวตผ่านพ้นไป พร้อมกับการปรากฏตัวของ ส.ส.ที่โหวตสวนมติพรรคอย่างชัดเจน บรรยากาศการเมืองหลังจากนี้อาจเริ่มเห็นการจัดวางตัวใหม่ในสภา การขยับขั้วของพรรคการเมืองขนาดเล็ก หรือแม้แต่การเปลี่ยนบทบาทของ ส.ส.บางรายจากฝ่ายค้านไปสนับสนุนรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
นี่ไม่ใช่เพียง “ข่าวงูเห่า” ประจำปี แต่คือการเปลี่ยนแปลงของสมการอำนาจในสภาฯ ที่อาจส่งผลถึงการจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต และการเลือกตั้งที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
รัฐบาลนิ่ง-ฝ่ายค้านไหว
รัฐบาลแพทองธารอาจไม่ต้องตอบคำถามอะไรมากมายหลังการลงมติครั้งนี้ เพราะได้คะแนนไว้วางใจล้นหลาม แต่ฝ่ายค้านต่างหากที่ต้องหันกลับมาสำรวจตัวเอง ว่าทำไมจึงไม่สามารถรักษาเอกภาพในการโหวตได้อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก
และหากยังไม่สามารถจัดระเบียบภายในได้ให้แน่นพอ การจะก้าวไปเป็นรัฐบาลในวันหน้า ก็อาจไม่ง่ายเท่ากับการอภิปรายในห้องประชุมใหญ่ของสภาฯ