รีเซต

ยอดนักสูบบุหรี่ไฟฟ้าไทยพุ่ง 1.7 ล้าน คนรุ่นใหม่เสี่ยงติดทั่วประเทศ

ยอดนักสูบบุหรี่ไฟฟ้าไทยพุ่ง 1.7 ล้าน คนรุ่นใหม่เสี่ยงติดทั่วประเทศ
TNN ช่อง16
10 ธันวาคม 2568 ( 19:38 )
29

การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลล่าสุดจากงานเสวนาทางวิชาการที่กรุงเทพฯ ระบุว่าคนไทยอายุ 10 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากถึง 1.7 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคนจากการสำรวจครั้งก่อน โดยมีเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้าควบคุมเข้มข้นและบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง

รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เปิดเผยว่า ในจำนวนผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าปัจจุบัน 73% เป็นคนอายุต่ำกว่า 30 ปี และพบว่าเด็กอายุเพียง 10–19 ปี มากกว่า 400,000 คน สูบบุหรี่ไฟฟ้า โดยกว่า 51% เพิ่งเริ่มสูบในรอบ 1 ปี ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เยาวชนเข้าสู่วงจรการเสพคือนิยมเลียนแบบเพื่อน และการรับสื่อผ่าน TikTok Facebook และ Instagram ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น

ข้อมูลสำรวจยังพบจำนวน “นักสูบหน้าใหม่” เพิ่มสูงมาก โดยปี 2567–2568 มีนักสูบหน้าใหม่กว่า 700,000 คน และในจำนวนนี้กว่า 500,000 คน คือผู้ที่เริ่มจากบุหรี่ไฟฟ้าโดยตรง น่าเป็นห่วงที่สุดคือเด็ก อายุ 10–14 ปีเกือบ 50,000 คน ที่เริ่มสูบเร็วกว่าเดิม พร้อมความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต การเสพสุรา การใช้กัญชา ภาวะซึมเศร้า และการถูกกลั่นแกล้งทางออนไลน์

ศ.ดร.สแตนตัน แกล็นซ์ นักวิชาการด้านการควบคุมยาสูบจากสหรัฐฯ ระบุชัดว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ “ลดอันตราย” แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง และโรคเมตาบอลิก ไม่ต่างจากบุหรี่ธรรมดา อีกทั้งยังเพิ่มจำนวนผู้ที่สูบทั้งสองชนิดพร้อมกัน โดยสำหรับทุกคนที่เลิกบุหรี่ได้ จะมีผู้ใช้บุหรี่ทั้งสองรูปแบบอยู่ระหว่าง 1.9–3.7 คน ซึ่งเป็นผลลบต่อสุขภาพในภาพรวม

ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ชี้ว่าปัญหาใหญ่ที่สุดคือการระบาดในเด็กและวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง ซึ่งเสี่ยงต่อการเสพติดนิโคตินในระยะยาว ทั้งยังเกิดผลกระทบต่อพัฒนาการสมอง การเรียนรู้ และพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ พร้อมเตือนถึงการลักลอบผลิตบุหรี่ไฟฟ้าผสมสารเสพติดที่พบมากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าการบังคับใช้กฎหมายเข้มข้นได้ผลจริง โดยหลังรัฐบาลประกาศกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อัตราการสูบในกลุ่มเยาวชนอายุ 10–19 ปี ลดลงถึง 40% จึงเสนอให้รัฐคงมาตรการห้าม นำเข้มงวดต่อเนื่อง และสำรวจสถานการณ์ทุกปีเพื่อปรับนโยบายให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง