จุดจบ "ภาษีทรัมป์" จะต้องยกเลิกหรือไม่ ศาลตัดสินมิชอบด้วยกฎหมาย เกินอำนาจประธานาธิบดี

"ภาษีทรัมป์" จะต้องถึงจุดจบแล้วหรือไม่ หรือทุกอย่างจะต้องกลายเป็นโมฆะ?
จับตาความสั่นคลอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ หลังจากที่ศาลของสหรัฐฯ ได้มีคำตัดสินออกมาว่า การใช้อำนาจของทรัมป์ในขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าไปยังประเทศคู่ค้าต่างๆทั่วโลกนั้น มิชอบด้วยกฎหมาย เกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดี ซึ่งหมายรวมถึงภาษีของประเทศไทยที่ถูกเรียกเก็บที่อัตรา 19% ด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ภาษียังคงมีผลบังคับใช้อยู่ หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ในยื่นอุทธรณ์ต่อไปยังศาลสูง
ย้อนกลับไปดูคำตัดสินสินดังกล่าว ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางประจำกรุงวอชิงตัน (U.S. Court of Appeals for the Federal Circuit) ได้มีมติ 7 ต่อ 4 เสียง ระบุว่าแม้รัฐสภาจะมอบอำนาจให้ประธานาธิบดีดำเนินการได้อย่างกว้างขวางเมื่อต้องเผชิญภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ แต่กฎหมายเองก็ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าได้ให้อำนาจในการเก็บภาษีศุลกากร อากร หรือภาษีในลักษณะนั้น
โดยคำตัดสินดังกล่าวนั้นครอบคลุมถึงมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศในเดือนเมษายน 2568 รวมถึงภาษีที่มีการเก็บกับประเทศจีน แคนาดา และเม็กซิโกในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แต่จะไม่ได้กระทบต่อมาตรการอื่นๆ ที่ทรัมป์ไม่ได้ใช้กฎหมายเรื่องภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ
ขณะที่ทำเนียบขาวเองนอกจากเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด และได้การมีวางแผนใช้มาตรการทางกฎหมายอื่นๆ เพื่อช่วยค้ำยันภาษี ไม่ให้ถูกยกเลิก หรือให้มาตรการภาษีเดินหน้าต่อไปได้ในอนาคต
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า "เจมีสัน กรีเออร์" ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) กล่าวว่า รัฐบาลทรัมป์ จะยังคงเดินหน้าเจรจากับคู่ค้าทางการค้าต่างประเทศต่อไปไม่หยุด แม้ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ ได้มีคำตัดสินออกมามาตรการภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กรีเออร์ ให้สัมภาษณ์ทาง Fox News ระบุว่าคู่ค้าของสหรัฐฯ ยังคงทำงานใกล้ชิดในการเจรจา หลายประเทศยังคงเดินหน้ากับข้อตกลงของพวกเขา โดยไม่สนใจว่าศาลจะพูดอะไรในช่วงระหว่างนี้
ขณะที่ศาลอุทธรณ์เองก็มีคำสั่งให้มาตรการภาษียังคงมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2568 และล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยระบุในคำร้องขอให้ศาลมีการพิจารณาอย่างเร่งด่วนที่สุด คาดว่ากระบวนการจะเริ่มได้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้
ทรัมป์ ยังออกมากล่าวด้วยว่า สหรัฐฯอาจต้องยกเลิกข้อตกลงการค้าที่ทำกับสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ หากแพ้คดีภาษีศุลกากรต่อศาลฎีกา และเตือนว่าการแพ้คดีดังกล่าวนี้จะส่งผลทำให้สหรัฐฯได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัส แต่อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ก็ยังคงมั่นใจว่าในท้ายที่สุดเมื่อไปถึงศาลสูงรัฐบาลของเขาจะชนะคดีนี้ได้
ทรัมป์กล่าวว่า เราทำข้อตกลงกับสหภาพยุโรป ซึ่งพวกเขาจ่ายเงินให้เราเกือบล้านล้านดอลลาร์ แล้วรู้ไหม? พวกเขามีความสุข สำเร็จแล้ว ข้อตกลงเหล่านี้เสร็จสิ้นหมดแล้ว แต่ผมคิดว่าเราคงต้องยกเลิกข้อตกลงเหล่านี้
ผู้นำสหรัฐฯ ยังกล่าวอีกว่า ประเทศของเรามีโอกาสที่จะร่ำรวยอย่างไม่น่าเชื่ออีกครั้ง แต่ก็อาจยากจนอย่างไม่น่าเชื่ออีกครั้งเช่นกัน หากเราไม่ชนะคดีนี้ ประเทศของเราจะได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัส เนื่องจากการยกเลิกภาษีศุลกากรจะมีค่าใช้จ่ายสูง
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้ากล่าวว่า ความเห็นของทรัมป์ที่ออกมาเตือนเกี่ยวกับต้นทุนของการยกเลิกภาษีศุลกากรนั้นมีจุดประสงค์ เพื่อโน้มน้าวศาลฎีกาว่าการยกเลิกภาษีศุลกากรจะก่อให้เกิดความวุ่นวายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่
รัฐบาลทรัมป์ มั่นใจ "ภาษีการค้า" ได้ไปต่อ เตรียมกฎหมายรองรับ
ความเห็นของหลายฝ่ายที่เชื่อว่า รัฐบาลของทรัมป์จะเอาตัวรอดไปได้ แม้จะเจอคำสั่งของศาล โดยทางออก คือ ทรัมป์อาจจะดึงกฎหมายตัวอื่นเข้ามาอ้างอิงแทน
เช่น ความเห็นจาก "จอช ลิปสกี" ประธานด้านเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศแห่งสถาบันคิด "Atlantic Council" กล่าวว่า ฝ่ายบริหารของทรัมป์ได้เตรียมรับมือกับคำตัดสินนี้ไว้แล้ว และมีแผนสำรองหลายชั้น เพื่อเดินหน้ามาตรการภาษีต่อไป หากประเทศอื่น ๆ คิดว่าพวกเขาจะได้ผ่อนปรนภาษี ก็คงต้องผิดหวัง มีทางเลือกสำรองหลายทาง แม้ในที่สุดศาลสูงจะเห็นด้วยกับศาลอุทธรณ์ก็ตาม
พร้อมชี้ว่าหนึ่งในทางเลือกคือการใช้มาตรา 338 ของกฎหมายการค้าปี 1930 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีสามารถเก็บภาษีนำเข้าได้สูงสุดถึง 50% หากพบว่าประเทศนั้น ๆ มีการเลือกปฏิบัติต่อการค้าของสหรัฐ
เช่นเดียวกับรัฐบาลของทรัมป์ที่ดูเหมือนว่าจะมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่านโยบายภาษีของทรัมป์จะไม่ถูกล้มอย่างแน่นอน โดยมุมมองเรื่องนี้จาก "ปีเตอร์ นาวาร์โร" ที่ปรึกษาการค้าทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์ในรายการ Fox News ว่ารัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่าศาลสูงสหรัฐฯ ซึ่งมีเสียงข้างมากฝั่งอนุรักษ์นิยม 6 ต่อ 3 จะสนับสนุนมาตรการภาษีของทรัมป์
ภาษีทรัมป์ คือ เงินก้อนโตที่รัฐบาลสหรัฐฯต้องการมากที่สุดในขณะนี้ ซึ่งตอนนี้รายได้กำลังพุ่งแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะทะลุถึงล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และช่วยแก้ปัญหาขาดดุลได้ในอนาคต
สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทำเนียบขาวว่า การประเมินก่อนหน้านี้ที่คาดว่ารัฐบาลจะจัดเก็บภาษีศุลกากรได้ 300,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี นั้นอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป เพราะคลังเห็นรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าตัวเลขรายได้ภาษีของสหรัฐฯ อาจจะพุ่งทะลุไปถึงครึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และอาจจะไปแตะระดับถึงล้านล้านดอลลาร์สหรัฐได้เช่นกัน และนี่คือการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการลดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลทรัมป์
และรายได้จากภาษีศุลกากรเหล่านี้จะมาช่วยชดเชยการขาดดุลที่เกิดจากกฎหมายลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของพรรครีพับลิกัน หรือกฎหมาย One Big Beautiful Bills ซึ่งสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินว่าจะทำให้ขาดดุลเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอีกสิบปีข้างหน้านี้
ซึ่งล่าสุดทาง CBO ได้ประกาศปรับเพิ่มการคาดการณ์รายได้จากภาษีศุลกากรใหม่ โดยประเมินว่าสามารถช่วยลดการขาดดุลงบประมาณรัฐบาลกลางได้ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน 10 ปี จากเดิมอยู่เพียงแค่ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขึ้นภาษีนำเข้า รายได้ทะลักเข้าสหรัฐฯ กับภาวะ "Sneakflation" เงินเฟ้อคืบคลานไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามรายได้มหาศาลจากภาษีก็อาจจะมีผลกระทบตามมาได้ นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญต่างก็ต้องมาแสดงความกังวลถึงผลลัพธ์ว่าอาจจะได้ไม่คุ้มเสีย และเป็นการทำลายเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะยาว โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อกำลังถาโถมเข้ามา
ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบน Truth Social เมื่อต้นเดือนสิงหาคม ระบุว่า พิสูจน์แล้วว่าภาษีของเค้ายังไม่ได้ทำให้เกิดเงินเฟ้อ หรือปัญหาอื่นใดต่ออเมริกาเลย แต่ส่งผลให้มีเงินสดจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ และเป็นการพิสูจน์แล้วด้วยว่าไม่ใช่ผู้บริโภคที่ต้องมาจ่ายค่าภาษี แต่เป็นบริษัทและรัฐบาลต่างชาติต่างหากที่จ่ายเงินเหล่านั้น
แต่ทางสำนักข่าว CNN รายงานว่า เมื่อมีการเก็บภาษีศุลกากร (tariffs) เพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าหลายประเภท ย่อมต้องมีใครสักคนแบกรับต้นทุน แม้ทรัมป์จะอ้างว่าต่างชาติและธุรกิจในต่างประเทศ คือ ผู้แบก แต่หลักฐานกลับชี้ว่าผู้บริโภคและธุรกิจอเมริกันเองต่างหาก ที่กำลังเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น เพราะมาตรการภาษีครั้งนี้
โดยสาเหตุที่ผลกระทบยังค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากธุรกิจได้พาสต็อกสินค้าล่วงหน้าก่อนภาษีจะมีผล ทำให้ราคาหน้าร้านยังไม่พุ่งทันที และภาษีหลายรายการก็ทยอยบังคับใช้ช้าและมีสินค้าบางประเภทได้รับการยกเว้น
แม้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งเพราะราคาพลังงานตกลง และอุปสงค์ผู้บริโภคก้อ่อนแรง แต่รายงาน CPI ล่าสุดแสดงว่าต้นทุนของ สินค้านำเข้า เช่น เครื่องใช้ในบ้าน ผ้าปู เครื่องมือ ของเล่น และอุปกรณ์กีฬา กำลังเพิ่มขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่าผลกระทบจะค่อย ๆ ซึมลึก เช่น Walmart ออกมายอมรับว่าต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกสัปดาห์เพราะภาษี แม้จะยังพยายามตรึงราคาขายให้นานที่สุด
Heather Long หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Navy Federal Credit Union กล่าวว่า “คนอเมริกันรายได้น้อยต้องหมุนเงินอย่างมาก อาจเลือกไม่ซื้อเนื้อหรือกาแฟสักสัปดาห์ เพื่อเอาเงินไปจ่ายค่าไฟหรือค่ารักษา”
นักวิเคราะห์เรียกว่า “Sneakflation” ภาวะเงินเฟ้อที่ค่อย ๆ แทรกตัวทีละน้อย โดยที่ผู้บริโภคไม่ทันรู้ตัว แต่สุดท้ายกระทบกำลังซื้ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทรัมป์เคยบอกไว้ว่า นโยบายภาษีของเขาจะทำให้อเมริกากลับมาร่ำรวยอีกครั้ง ดังนั้นเดิมพันครั้งนี้กับคำตัดสินชี้ชะตาของศาลจึงยิ่งใหญ่มากนัก เพราะรายได้ก็เริ่มเข้ามาให้เห็นแล้วจริงๆ แต่ในแง่ของผลกระทบระยะยาวนั้น ต้องจับตากันต่อไป เกมนี้ยังอีกยาวไกล
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
