NERดีมานด์ยางเข้า พ้นจุดต่ำQ4งบดีด
#NER #ทันหุ้น - NER จะกลับมาโดดเด่น หลังแจ้งกำไรไตรมาส 3/2566 ที่ 312 ล้านบาท ผ่าความจริงมีภาษี และขาดทุนพิเศษกด หากไม่นับรวมกำไรจะขึ้นมาแตะ 360 ล้านบาท พ้นจุดต่ำพร้อมดีดไตรมาส 4 ราคายางกลับมา-ผู้ผลิตล้ออีวีแห่ปักฐานในไทย แนวโน้มราคายางจะสูงจากภาวะเอลนีโญ่กดซัพพลาย ชูเป้าขาย 5 แสนตัน ปั๊มรายได้ 2.4 หมื่นล้านบาทปีนี้
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยกับ "ทันหุ้น" ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2566 ของบริษัทจะเติบโตดี โดยจะมีรายได้ที่สูงที่สุด ทั้งราคาขายและปริมาณขายที่จะเติบโต
โดยราคายางได้มีการกำหนดไว้ในช่วงไตรมาส 3 ที่ราคาเริ่มดีดกลับมาสูง ซึ่งตรงกับช่วงการส่งมอบไตรมาส 4 พอดี ดังนั้นจึงมีราคาขายที่สูงขึ้น ขณะที่ปริมาณขายมีแนวโน้มการสั่งซื้อสินค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนของค่ายรถไฟฟ้า (อีวี) จากประเทศจีน ทำให้มีความต้องการล้อยางมากขึ้น สอดคล้องกับการเข้ามาลงทุนของผู้ผลิตยางรถยนต์ประเทศจีนที่ขณะนี้เข้ามา 6 เจ้าแล้ว และมีคำสั่งซื้อมาที่ NER ทุกราย นอกจากนี้ยังจะมีโรงงานล้อยางใหม่เข้ามาตั้งฐานผลิตในไทยเพิ่มเต็มอีก 2 ราย จึงมองว่าการเติบโตจะโดดเด่นขึ้นมาในช่วงไตรมาส 4/2566 ยาวจนถึงไตรมาส 1/2567
สำหรับสถานการณ์ของราคายางพารา ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยแนวโน้มราคายางจะสูงขึ้น เนื่องจากซัพพลายที่จะลดลง จากปัญหาสภาวะอากาศ เอลนีโญ่ สวนทางกับการความต้องการของตลาด (Demand) ภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งตลาดในและต่างประเทศ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มขยายตัวหนุนความต้องการใช้ยางในภาคก่อสร้าง รวมถึงการผลิตรถอีวี
ดังจะเห็นได้จากราคายางพาราเริ่มมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าดูอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังได้รับกดดันจากอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ค่าเงินบาท
@เป้าปีนี้ 2.4 หมื่นล้านบาท
นายชูวิทย์ กล่าวถึงภาพรวมปี 2566 ว่า บริษัทยังคงตั้งเป้าปริมาณขายสินค้าที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 515,600 ตัน โดยตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 24,000 ล้านบาท โดยการเติบโตมาจากการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างๆ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบันบริษัทยังได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีการขายให้กับลูกค้าไปถึงไตรมาสที่ 1/2567 แล้ว จากอานิสงส์ของคำสั่งซื้อจากประเทศจีนที่ยังมีความต้องการสูงและราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น
นอกจากนี้บริษัทมีการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตที่มากขึ้นในอนาคต ตลอดจนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานเพิ่มเติม โดยปัจจุบันบริษัทมีพลังงานหมุนเวียน คือ พลังงานจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) และไบโอแก๊สที่ผลิตเพื่อใช้งานเองภายในบริษัท รวมกำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี
@ผ่าความจริงงบ NER
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/2566 มีกำไร 312.27 ล้านบาท ลดลง 40.96% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 528.88 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายรวมในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 5,627.92 ล้านบาท ลดลง 22.07% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 4,035.91 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 71.71% ของยอดขายรวม ลดลง 13.35% รายได้จากการขายต่างประเทศ 1,592.01 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 28.29% ของยอดขายรวม ลดลง 37.91% สาเหตุการลดลงของรายได้ขายต่างประเทศ เกิดจากการเลื่อนการส่งมอบสินค้าไปยังประเทศจีน เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดวันชาติจีนคิดเป็นปริมาณขายอยู่ที่ 6,651.20 ตัน หรือ 324.98 ล้านบาท โดยบริษัทมีการรับรู้รายได้ดังกล่าวในไตรมาส 4/2566
"จริงไตรมาส 3/2566 ผลงานของบริษัทไม่ได้ลดลงมากเท่าไหร่ เพราะมีรายจ่ายภาษี และขาดทุนพิเศษค่าเงิน หากนำพวกนี้เข้าไปรวมก็จะมีกำไรราว 360-370 ล้านบาท ถือว่าสูงกว่าไตรมาส 1 ที่มีกำไรสุทธิ 314 ล้านบาท ซึ่งตอนนั้นมีกำไรพิเศษราว 10 ล้านบาทด้วย"
ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 มีปริมาณขาย 369,478 ตัน เพิ่มขึ้น 60,868 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 19.72% คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 18,439.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 353.55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.95% แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 11,949.62 ล้านบาท หรือคิดเป็น 64.80% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 6,490.28 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.20% ของยอดขายรวม โดยงวด 9 เดือนของปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,083.87 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 5.88%ของรายได้จากการขายรวม