รีเซต

DRTแย้มยอดขายQ3แกร่ง เล็งขยับราคาขายดันมาร์จิ้น

DRTแย้มยอดขายQ3แกร่ง เล็งขยับราคาขายดันมาร์จิ้น
ทันหุ้น
18 กันยายน 2566 ( 13:50 )
32
DRTแย้มยอดขายQ3แกร่ง เล็งขยับราคาขายดันมาร์จิ้น

DRT มองยอดขายไตรมาส 3/2566 ทรงตัว แม้เข้าโลว์ซีซันธุรกิจ-ฝนตกชุก แต่สัญญาณยอดขายในกันยายน 2566 ยังเป็นบวก คงเป้ารายได้รวมปี 2566 เติบโตไม่น้อยกว่า 5% รับต้นทุนผลิตเพิ่มสูงทำให้จะเป็นต้องปรับราคาขายขึ้น ยันรักษามาร์จิ้นระดับ 25-27%

 

นายสาธิต  สุดบรรทัด  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยว่า คาดการณ์ยอดขายในช่วงไตรมาส 3/2566 ทรงตัวใกล้เคียงหรือดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้จากการขายและการบริการรวมอยู่ที่ระดับ 1,516.30 ล้านบาท แม้ว่าตามปกติแล้วในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีจะเป็นโลว์ซีซันของธุรกิจ ตามปัจจัยการเข้าสู่ฤดูฝนที่ทำเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานก่อสร้าง

 

แต่ว่ายอดขายในไตรมาส 3/2566 ยังคงมีสัญญาณที่ดี แม้ว่าในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมอาจลดลงเล็กน้อย แต่ในช่วงเดือนกันยายน 2566 เริ่มกลับมามีสัญญาณที่เป็นบวกมากขึ้นแล้ว จากการที่รัฐบาลชุดใหม่ได้ให้ความชัดเจนในเรื่องของนโยบายในการดำเนินงานโดยเฉพาะในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาคเอกชน

 

*รักษามาร์จิ้น

ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทยังคงเป้ารายได้จากการขายและการบริการรวมเติบโตไม่น้อยกว่า 5% จากปีก่อนที่ระดับ 5,250.05 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 625.61 ล้านบาท โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีรายได้รวมแล้วอยู่ที่ระดับ 3,071.90 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 344.22 ล้านบาท ซึ่งในช่วงครึ่งแรกปีการปรับตัวลดลงของกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 9% จากเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน หลักๆ เป็นผลมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตและต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

 

ในขณะที่การปรับราคาขายใหม่อาจไม่สามารถขยับเพิ่มขึ้นไม่ได้มากนัก แต่ในปัจจุบันบริษัทได้มีการทยอยปรับขึ้นราคผลิตภัณฑ์บางรายการขึ้นแล้วเพื่อให้เหมาะสมกับราคาต้นทุนการผลิตที่ขยายตัวขึ้น ดังนั้น จึงมองว่าจะสามารถรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566 ไว้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 25-27% จากในช่วงครึ่งแรกปีนี้ที่ระดับ 24.93%

 

*ปรับปรุงกำลังผลิต

นอกจากนี้ บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการดูแลและบริหารจัดการต้นทุนให้อยู่ในระดับที่ดีและมีความเหมาะสมต่อสถานการณ์และจะไม่ผลักภาระไปยังลูกค้ามากนัก ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่เฉลี่ย 80-90% และคาดว่าทั้งปีจะทรงตัวในระดับเช่นนี้ได้ต่อไป สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของผลิตภัณฑ์กระเบื้องหลังคาคอนกรีตและกลุ่มผลิตภัณฑ์มวลเบา อาทิ อิฐ คานทับหลัง และเคาน์เตอร์ ที่วางเป้าหมายไว้ที่ 4.5% และ 6.5% แต่ในช่วงครึ่แรกปีนี้ทำได้สูงถึง 5% และ 7.3% ตามลำดับแล้ว

 

ขณะที่สัดส่วนการขายทั้งปี 2566 จะประกอบด้วย เอเจนซี 55% โมเดิร์นเทรด 15% กลุ่มงานโครงการจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 15% และการส่งออก 14% เป็นต้น จากในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่ยอดขายมีสัดส่วนการจำหน่ายแบ่งเป็น 53%, 15%, 17% และ 15% ตามลำดับ สำหรับยอดขายจากการส่งออกในปีนี้ มองว่าอาจไม่สูงมากนัก เนื่องจากได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและการฟื้นตัวของกำลังซื้อที่ยังไม่ดีนัก

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง