รีเซต

ช็อตต่อช็อต อ่านคำแถลง จากทีมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข

ช็อตต่อช็อต อ่านคำแถลง จากทีมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข
Oopsoi5
16 กรกฎาคม 2563 ( 11:30 )
277
ช็อตต่อช็อต อ่านคำแถลง จากทีมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข

 

 

ช็อตต่อช็อต อ่านคำแถลง จากทีมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกมาส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่า ให้ประชาชน “พร้อมรับมือสถานการณ์การระบาด” และ “อย่าตระหนก”​


ท่ามกลางความสนใจของระชาชน ต่อสถานการณ์โควิด19 ในระลอกสอง หลังจากเกิดกรณีทหารอียิปต์ ออกจากสถานที่พักไปห้างสรรสินค้า ในจ.ระยอง ที่พบว่าติดเชื้อ 1  ราย และกรณีลูกทูตซูดาน เด็กวัย 9 ปี ที่พบว่าติดเชื้อ โดยเข้ามาพักในคอนโดย่านสุขุมวิท ซึ่ง ศบค.แถลงข่าวอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา 

 

 

 

 


วันนี้ (16 กรกฎาคม) ที่ห้องประชุมชัยนาทนเรทร กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข , ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข

 
พร้อมด้วย  

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข 
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์​ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค 
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต
นพ.​สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์
นพ.ธเรศ ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) 
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
นพ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
นพ.บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย
และ พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล ผู้ช่วยโฆษก ศบค.

ร่วมกันแถลงข่าว

 

การแถลงข่าวในวันนี้ นพ.สุขุม เป็นคนแรกที่เริ่มแถลงข่าว โดยกล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะประเทศแรกในโลกที่มีการระบาดนอกประเทศจีน จากวันนั้นมาถึงวันนี้ สร้างองค์ความรู้ สร้างมาตรการต่างๆ ในการดูแลป้องกันทั้งหน้ากาก เจลล้างมือ การเว้นระยะห่าง ความร่วมมือกับทุกส่วนด้านการแพทย์จนทำให้เราผ่านสถานการณ์มาได้เป็นอย่างดี

 

“โรคโควิด19 ในประเทศไทย ต้องบอกว่าไม่หายไป แต่พบน้อย แต่ละรายถึงแม้จะเกิดขึ้นเรามีความพร้อมรับได้ 1,000 รายทั่วประเทศ เรามีความพร้อมในการรับมือ มีอุปกรณ์มีเครื่องมือ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ พร้อมรับสถานการณ์ ทิศทางในการเกิดระบาดกรณีถ้ามีรายใหม่ ขอให้มั่นใจว่า เราสามารถควบคุมได้ แต่ก็ไม่ต้องเกินขีดความสามารถของเรา เต็มที่น่าจะรับได้ 1 หรือ 2 รายต่อวันเป็นระดับที่เราสามารถควบคุมได้"


จากนั้น เป็นผู้บริหารระดับสูงของแต่ละกรม ได้ออกมาแถลงข่าว โดยส่วนใหญ่เป็นการอธิบายถึงความพร้อมและบทบาทของแต่ละกรม 


เริ่มจาก นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ที่ไม่มีรายงานผู้ป่วยเพราะเราปฏิบัติตามมาตรการที่สำคัญมาโดยตลอด โดยเฉพาะการร่วมกันใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย หากไม่ใส่เลยจะแพร่เชื้อได้ถึง 70% หากใส่ทั้งคู่ ลดลงเหลือแค่ 1.5% เป็นมาตรการที่ดีสะท้อนถึงความร่วมมือในการป้องกันจึงต้องร่วมมือกันที่จะอยู่กับโรคโควิด19ได้  อย่างไรก็ตามเราผ่อนปรยมาถึงระยะที่ 5  โดยเราเชื่อว่าเรามพร้อมและพี่น้องประชาชนพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมกับบุคลากรทางสาธารณสุข ตามการคาดการณ์ต่อไปอาจจะมีพบการพบเชื้อ แต่เราจะตรวจจับให้เร็วและป้องกันไม่ให้เกิดอีก อย่างกรณี ระยอง เราตรวจพอและใช้เชิงรุก ใช้รถตรวจเชื้อชีวนรถัยพระรราชทาน วันแรกตรวจไป 1,336 คน เป็นผลลบทั้งหมด และจะตรวจในวันที่ 15 ก.ค. จำนวน 1,252  คน ก็ยังมั่นใจว่าจะเป็นผลลบ ทั้งนี้ เราจะเลือกที่จะจัดการเป็นจุด เลือกที่จะปิดเป็นจุด ไม่เลือกปิดพื้นที่ จ.ระยอง เพราะทั้งจังหวัดระยองไม่ได้มีความเสี่ยงทั้งหมด คนระยองสามารถใช้ชีวิตปกติ การ์ดต้องสูง และทีมสอบสวนโลกมีมากกว่า 2,000  คน มีนักระบาดวิทยาที่เชี่ยวชาญอีกหลายร้อยคน และหากจะเกิดมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เราก็จะร่วมกันทำได้อีกครั้ง 


นพ.เกียรติภูมิ ได้แถลงถึงความพร้อมในการดูแลจิตใจประชาชน บอกว่า วันนี้ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก อยากให้ทบทวนว่าเรามีทีมป้องกันควบคุมโรคระดับต้นของโลกมีชื่อเสียงมาก มั่นใจในมาตรการที่ร่วมกันทำด้วยกันมา แม้ว่าจะมีคนป่วยเราก็รักษาได้ ประชาชนพยายามทำให้ปลอดภัย อยู่ในความสงบ มีความหวัง และครั้งนี้ไม่ได้เป็น Super spreader เหมือนก่อน และสามารถระบุคนใกล้ชิดได้ ขอให้ประชาชนใช้ชีวิตอยู่สงบ มีความหวัง ฟังข่าวสารจากราชการ และจะส่งทีมสุขภาพจิตลงพื้นที่ ร่วมกับทีมตรวจหาเชื้อ ไม่บายใจโทร.1323 ร่วมกันต่อสู้ด้วยใจที่เข้มแข็ง และร่วมมือกันในมาตรการที่มีเพื่อให้ผ่านไปได้อย่างสวยงามร่วมกัน 


นพ.ธเรศ กล่าวถึงความพร้อม อสม.ว่า เราผ่านช่วงสำคัญมากับการทำงานควบคุมการระบาด ที่ผ่าน อสม.ยังทำงานอย่างเข้มแข็ง เรื่องพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ วันนี้่ อสม.ยังทำหน้าที่ได้ถึง ร้อยละ 80-90  และอสม.ในพื้นที่จ.ระยอง ยังเข้มแข็งในการร่วมกัน และจะให้กำลังใจคนระยอง อสม.วันนี้ยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่ ส่งอุปกรณ์ลงพื้นที่สนับสนุนเพิ่มเติมต่อเนื่อง

 

ส่วน นพ.สมศักดิ์ ระบุถึงความพร้อมในการรักษา เตียงทั้งหมดมีกว่า 20,000 เตียง (มีความสามารถรับผู้ป่วย หากมีถึง วันละ 1,000 x 14  วัน จะเท่ากับ 14,000 เตียง ซึ่งเป็นระดับขีดความสามารถระดับสูงที่คาดการณ์  ตอนนี้รับคนไข้อยู่มีจำนวน 77 เตียง เป็นคนไข้จาก State Quarantine เป็นอาการน้อย ยืนยันว่าระบบรักษามีความพร้อม และยังทำงานร่วมกับคณะที่ปรึกษาอีก 2 คณะ ชุดที่ 1 มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นที่ปรึกษา จากการแต่งตั้งจากนายกฯ อีกคณะจะมีประชุมทุกวันเสาร์ มีดร.สาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข  เป็นประธานเพื่อประชุมบูรณาการโรงพยาบาลทั้งหมดทุกเครือข่ายใน กทม. รวมภาคเอกชนด้วยที่ร่วมมือกันมาตลอด เพราะร้อยละ 60 ของคนไข้ในกทม.รพ.เอกชนจะรับดูแล สำหรับประชาชนใน จ.ระยอง และ ทกทม. ถ้ามีประชาชนมีประวัติสัมผัส รพ.พร้อมตรวจให้ฟรี  


นพ.ไพศาล กล่าวว่า ตอนนี้หน้ากาก ชุด PPE มีความพร้อมมีการจัดสรร ผลิตในประเทศ 3 ล้านกว่าชิ้น จัดให้ สธ. 1.7 ล้านชิ้น กระจายทั่วประเทศ ส่วน N95  มีกระจายไป 1.7 ล้านชิ้น สามารถใช้ได้เกือบหมื่นเคส ชุดพีพีอีมีเป็นล้านชุด ตอนนี้พร้อมลุยได้ ส่วนเรื่องของยา ฟาวิพิราเวียร์ มีใช้ทั้งสิ้น 6 แสนกว่าเม็ดใช้ได้ 9 พัน ถึง 1 หมื่นเคส ส่วนยาแรมดิซีเวียร์ในอเมริกาใช้อยู่ ในประเทศไทยเตรียมพร้อมใช้ได้อยู่ 33 เคส และข่าวที่ดีว่ายาแรมดิซีเวียร์มีการผลิตในอินเดียจะมาขึ้นทะเบียนกับ อย.จะเสร็จในเดือนก.ค.ถือว่าเป็นความมั่นคงทางด้านยา นอกจากนี้ ชุดพีพีอี ที่สามารถใช้ซ้ำได้ถึง 20 ครั้งนั้น ตอนนี้ก็สามารถผลิตได้เองในประเทศ ขณะที่การผลิตวัคซีน เรามีวัคซีนที่อยู่ในกระบวนการ จะมีอยู่  2 ใน 7 ชนิด คือ mRNA และ DNA อยู่ในขั้นตอน ทาง อย.เน้นเรื่องความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มแรกในการวิจัย 

ด้าน นพ.โอภาส ยืนยันความพร้อมห้องปฏิบัติการตรวจหาเชื้อโควิด19  กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีความพร้อมทางห้องปฏิบัติการและนักวิจัยทางห้องปฏิบัติการ ทั้งนี้ โควิด19 เป็นโรคใหม่ แต่ประเทศไทยเป็นประเทศในโลกที่ระบาดนอกประเทศจีน เราถอดรหัสรายงานองค์การอนามัยโลกได้ ช่วงแรกในเดือนมกราคมเริ่มมีเพียง 2 ห้องปฏิบัติการ และพัฒนาการตรวจด้วยการตรวจ RTPCR และได้รับการยอมรับต้นๆของโลก มาถึงตอนนี้ขยายความสามารถทั้งรัฐและเอกชนไปถึง 206 ห้องปฏิบัติการ มากกว่าเกาหลีใต้ถึง 2 เท่า  และจะขยายไปเรื่อยๆ ตอนนี้ตรวจไปแล้ว 652,089 ราย เทียบเป็นอัตราการพบเชื้อหารจำนวนตรวจทั้งหมด ไทยตรวจได้ 0.4 ส่วนเกาหลีใต้ในตัวชีวัด 0.8 เท่ากับว่าเราตรวจหาเชื้อได้ดีกว่า 


ส่วนน้ำยาตรวจ ร่วมกับ สยามไบโอไซม์ พัฒนาได้เองมีเพียงพอมีในสต๊อกอยู่ถึง  601,870 เทสต์ มีเพียงพอรับมือได้อย่างสบาย ไทยไม่เคยส่งตัวอย่างไปตรวจนอกประเทศ และเราสามารถรายงานผลได้ภายใน 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ นักวิจัยพร้อมพัฒนาการตรวจตอนนี้มีการตรวจผ่านน้ำลาย ที่ตรวจรวมหมู่ได้เร็ว สำหรับวัคซีน ไทยมีไปไลน์ 4 ชนิด มีแผนจะผลิตวิจัยในคนตั้งแต่ตุลาคมเป็นต้นไป และเตรียมโรงงานเพื่อการผลิตใช้สำหรับคนไทย รวมทั้งการวิจัยสมุนไพรฟ้าทะลายโจรกับตัวเชื้อจริง ตอนนี้พบว่าทำลายเชื้อในระดับเซลล์ได้ โดยส่งผลให้กรมการแพทย์แผนไทยฯวิจัยต่อ

 

นพ.มรุต กล่าวว่า การวิจัยในผู้ป่วย 6 คนแรก ผลไม่เป็นทางการพบใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรพบว่าการใช้ในระดับ 3 เท่าของปกติ ผลปรากฏว่าอาการและอาการแสดงดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เท่ากับเพียงพอต่อการวิจัย ที่เห็นชัด อาการไอ และอาการเจ็บคอ อาการมีเสมหะดีขึ้น ภายใน 5 วันอาการน้ำมูกมีผลต่างกันอย่างชัดเจน ตอนนี้อยู่ในการตรวจทางแล็ป เบื้องต้น ฟ้าทะลายโจรใช้ได้ผล ขณะนี้ในท้องตลาดมีเพียงพอให้ประชาชนใช้ได้ และจะขยายการวิจัยไปสู่จำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าได้ผล

 

นพ.บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เรามีเครือข่ายทั้งรัฐเอกชนกว่า 100 หน่วย จัดทำคู่มือเพื่อให้เปิดบริการได้ด้วยความมั่นใจ ตอนนี้ กรณีในโรงเรียนมียุวจิตอาสาร่วมดูแลในโรงเรียน และในกรณีที่เกิดเหตุขึ้น กรมอนามัยจะมีหน่วยในพื้นที่ร่วมกับ สสจ.ลงไปดูแลความปลอดภัย ในจ.ระยอง ก็มีทีมเข้าไปร่วมดูแลแล้ว และพร้อมสนับสนุนผู้ระกอบการและโรงเรียน นอกจากนี้ กรมอนามัย มีหน้าที่ในการสร้างความรู้ และอยากให้ทุกท่านฟังข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุด 


นพ.ศุภกิจ รองปลัดกระทรวง กล่าวว่า เดิมเราเป็นเบอร์ 6  ของโลก จากที่เกิดเหตุมีการจัดการและกลุ่ม GCI ที่มีตัวชีวัดหลายตัว จนให้เราเป็นเบอร์ 2 ของโลก ที่มีตัวชีวัดมากมาย และในเวทีระดับโลกเราได้รับคำเชิญเรื่องการถ่ายทอดความรู้ เวทีระดับโลกได้ยกย่องการจัดการในประเทศไทย ขณะนี้ กรณีของจ.ระยอง เราไม่ได้รบกับโรค แต่รบกับความตื่นตระหนก ความกลัว ของประชาชน แต่จะทำอย่างไรให้ประชาชนตระหนักรู้ จึงขอความร่วมมือให้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขถึงประชาชนอย่างถูกต้อง 

 

 

 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ร่วมฟังการแถลงฯ

 

 

พญ.พรรณประภา บอกว่า ขอให้มั่นใจว่ากระทรวงสาธารณสุขมมีความพร้อม พร้อมในการรักษาคนไข้ทุกคน ตามที่ รมว.สาธารณสุข เคยย้ำว่า “ไม่ต้องเลือกว่าจะรักษาใคร ใครจะอยู่ ใครจะไป”  วันนี้ต้องบอกว่าประชาชน ต้องร่วมกันสวมหน้ากาก ล้างมือ ดูแลรักษาตัวเอง ที่เหลือหมอทุกคนจะช่วยเหลือประชาชน และอยากให้พวกเราเดินหน้าไปด้วยกัน ใช้ชีวิตไปให้ได้กับเชื้อโควิด19 รอวันที่การวิจัยวัคซีนสำเร็จ อย่าวิตกกังวลจนเกินไป ใช้ชีวิตในยุคNew Normal ควบคู่ไปกับการมีเชื้อโควิด19 


นพ.สุขุม ได้กล่าวสรุป บอกว่า เราต้องยอมรับว่า ย้อนกลับไประยะหนึ่ง เหมือนเดือนมกราคม ที่พบเชื้อนำเข้าจากต่างประเทศ เราเคยเจอเคสที่หัวหิน นครปฐม ก็ไม่เคยปิดหัวหิน นครปฐม เราเร่งหาเคสเพื่อควบคุม วันนี้เรามีองค์ความรู้ มีหน้ากาก มีเจลล้างมือ แยกการสำรับอาหาร มีเว้นระยะห่าง มีห้องปฏิบัติการกว่า 200 ห้อง มีเตียงมีโรงพยาบาลและเวชภัณฑ์อุปกรณ์ทางการแพทย์พร้อมในการรักษาให้ผู้ป่วยหายได้ในรวดเร็ว คนไทยมีวินัย รักกัน ช่วยเหลือกัน เศรษฐกิจเมื่อมีการผ่อนปรน เชื้อในประเทศไทยหากเกิดจะไม่เยอะ ตามได้รวดเร็ว และให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกราย โดยทุกฝ่ายและประชาชนจะได้ร่วมมือกัน 


ในช่วงท้าย พญ.พรรณประภา ยังได้อันเชิญพระราชดำรัส อัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงพระราชทาน ในโอกาสนายกรัฐมนตรีนำรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข คณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าเฝ้ากราบบังคมทูลถวายรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 พร้อมรับพระราชทานพระราโชบายและอุปกรณ์การแพทย์และเวชภัณฑ์เมื่อวันจันทร์ที่ 6 เมษายน 2563 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ความว่า …


  "มีอะไรที่จะมีส่วนช่วยเหลือ ที่จะแก้ปัญหาก็ยินดี เพราะว่าก็เป็นปัญหาของชาติ ซึ่งเรื่องโรคระบาดนี่ก็ไม่ใช่ความผิดของใคร แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือเรามีหน้าที่ที่จะดูแลแก้ไขให้ดีที่สุด อย่างที่เคยพูดไว้ว่า ถ้าเกิดมีความเข้าใจในปัญหา มีความเข้าใจ ไม่ใช่หมายความว่ายอมรับตามบุญตามกรรม แต่มีความเข้าใจในสถานการณ์ มีความเข้าใจในปัญหา และก็มีความรู้เกี่ยวกับโรค ก็คือความเข้าใจในปัญหานั่นเอง อันแรกก็เป็นอย่างนี้ 

 

อันที่ 2 ก็คือจากข้อที่ 1 ก็คือการมีการบริหารจัดการ มีแผนเผชิญเหตุ มีระบบในการปฏิบัติ แก้ไขให้ถูกจุด รู้ปัญหา แก้ไขให้ถูกจุดโดยมีการบริหารจัดการ แล้วก็ในเวลาเดียวกันก็ต้องให้ประชาชนได้เข้าใจถึงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องและเหตุผลที่จะต้องปฏิบัติ เพราะว่าการมีระบบ หรือแผน และการปฏิบัติตามแผนที่ได้วางไว้ตามความเป็นจริง ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แก้ถูกจุด ก็จะลดปัญหาลงไป และแก้ได้ในที่สุด 


ฉะนั้น ก็เชื่อแน่ว่าจะต้องแก้ไขและก็เอาชนะอันนี้ได้ เพราะว่าประเทศของเรานี่ก็นับว่าทำได้ดี ประเทศของเรานี่น่าภูมิใจว่าทำได้ดีและก็ทุกคนก็ร่วมใจกัน ก็ดีกว่าที่อื่นอีกหลายที่ แต่บางทีก็ต้องเน้นเรื่องการทำงานมีระบบด้วยความเข้าใจ และการมีระเบียบวินัยในการแก้ไขปัญหา โดยมีเป้าหมายว่าเราจะต้องต่อสู้ให้โรคนี้สงบลงไปได้ในที่สุด เพราะว่าโรคมาได้ โรคก็ไปได้ แต่โรคจะไม่ไปถ้าเราไม่แก้ไขปัญหา เราไม่แก้ไขให้ถูกจุด หรือเราไม่มีความขันติอดทนที่จะแก้ไข บางทีก็ต้องเสียสละในความสุขส่วนตัวบ้าง หรือเสียสละในการกล้าพอที่จะสร้างนิสัยหรือสร้างวินัยในตัวเอง ที่จะแก้ไขเพื่อตัวเอง เพื่อส่วนรวม อันนี้เราก็ขอเป็นกำลังใจให้”.

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง