FTEรอเซ็นงาน2โปรเจ็กต์ อวดแบ็กล็อกพุ่ง500ล้าน
#FTE #ทันหุ้น – FTE จับตาเร็วๆ นี้ ประกาศคว้างานใหม่ 2 โปรเจ็กต์ มูลค่ารวมกว่า 30 ล้านบาท ดันแบ็กล็อกแตะ 500 ล้านบาท วางเป้ายอดขายปี 2565 เติบโต 20% แตะ 1.2 พันล้านบาท พร้อมปรับแผนลุยขยายติดตั้งระบบดับเพลิงและอุปกรณ์เซฟตี้กลุ่มอุตสาหกรรม-โรงงาน หลังมองปีนี้ขยายตัวสูง
นายทักษิณ ตันติไพจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ FTE ผู้นำธุรกิจนำเข้าและจำหน่าย บริการออกแบบ รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ตรวจสอบอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้ายอดขายปี 2565 ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หรือมีรายได้จากการขายแตะที่ระดับ 1,200 ล้านบาท
โดยในปี 2565 บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ เน้นขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มอุตสาหกรรมและโรงงานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองว่าปีนี้มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน หลักๆ จากการขยายตัวของการลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างชาติ ทำให้มีโรงงานอุตสาหกรรมเกิดใหม่จำนวนมาก ส่งผลต่อความต้องการระบบดับเพลิงและอุปกรณ์เกี่ยวเนื่องมากขึ้น
*รอเซ็นงานเติมแบ็กล็อก
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจางานโครงการใหม่อีกหลายโครงการ และยังมีงานที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญารับงานใหม่ จำนวน 2โครงการ มูลค่ารวมมากกว่า 30 ล้านบาท และยังมีงานอื่นๆ ที่รอทยอยเซ็นสัญญารับงานเข้ามาเพิ่มเติมเช่นกัน เบื้องต้นคาดว่าไม่เกินกลางไตรมาส 1/2565 จะได้เห็นความชัดเจน ทำให้คาดว่าจะเสริมให้งานในมือ (Backlog) แตะระดับ 500 ล้านบาทได้ จากสิ้นปีก่อนที่อยู่ที่ประมาณ 460 ล้านบาท
ส่วนแผนการลงทุนในปี 2565 บริษัทวางงบไว้ประมาณ 30-40ล้านบาท รองรับการลงทุนจัดหาสินค้าเกี่ยวเนื่องอุปกรณ์เซฟตี้และอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคลสำหรับโรงงาน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทอยู่ในช่วงของการขยายตลาด และเป็นกลุ่มที่ให้มาร์จิ้นในระดับที่ค่อนข้างดีตัวเลข 2หลักระดับต้นไปจนถึงระดับกลาง ซึ่งก็คาดว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มความสามารถในการรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรกำไรสุทธิไว้ที่เหนือ 22-24% และ 5-6% จากปีก่อนๆ
*คลอดโปรดักต์ใหม่
พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าจัดหาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อจำหน่ายโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ดับเพลิงและระบบดับเพลิงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง จากบริษัทชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลกและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยมีสินค้าหลากหลายมากกว่า 9,000 รายการ ภายใต้ตราสินค้ามากกว่า 30 ตราสินค้า ที่ครอบคลุมทุกความต้องการทั้งในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ อาทิ คอนโดมิเนียม โรงแรม อพาร์ตเมนต์ ศูนย์การค้า และโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
"ในปี 2565เรามีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานใหม่จะมุ่งเน้นไปในกลุ่มอุตสาหกรรมและโรงงานเป็นหลัก เพราะมองว่าสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางคลายตัวลง มีโอกาสที่ไทยจะกลับมาเปิดประเทศทำกิจกรรมการค้าได้มากกว่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ต่างชาติก็มีแนวโน้มที่จะเข้ามาลงทุนในไทย ทำให้คาดว่าจำนวนโรงงานจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ในปีนี้เราวางมาตรฐานเติบโตไว้สูงถึงกว่า 20%จากปีก่อน ความแน่นอนของงานก็มีอยู่มาก ที่มีการเจรจาก็มีอยู่ ซึ่งเร็วๆ นี้คาดว่าจะมีการประกาศรับงานใหม่ 2 โปรเจ็กต์" นายทักษิณ กล่าว