พรุ่งนี้อาจไม่มีให้ฝัน ชีวิตเด็กในยุคโลกร้อน

ในยุคที่วิกฤตโลกร้อนไม่ใช่เพียงเรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่เป็นปัญหาที่กระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ในทุกมิติ เด็ก ๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด กลับต้องรับผลกระทบหนักหนาที่สุดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะในประเทศที่มีภูมิประเทศสุดโต่งอย่าง เนปาล ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย และ มัลดีฟส์ ประเทศหมู่เกาะต่ำที่รายล้อมด้วยทะเล วิกฤตภูมิอากาศได้เปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ อย่างสิ้นเชิง ทั้งในด้านความปลอดภัย สุขภาพ การศึกษา และความหวังต่ออนาคต
ในเนปาล เด็กหญิงวัย 11 ปีชื่อ “ซาบู” และเพื่อน ๆ ต้องเดินทางไปโรงเรียนท่ามกลางฝนที่ตกหนักและดินถล่มที่คาดการณ์ไม่ได้ ถนนถูกน้ำพัดพา บางวันต้องลุยโคลนข้ามสะพานชำรุดไปกลับ เพื่อจะได้สิทธิในการเรียนรู้ เช่นเดียวกับเด็กในมัลดีฟส์ ที่ต้องใช้ชีวิตบนเกาะที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะทุกวัน บ้านพัง ต้นไม้หาย พื้นที่อยู่อาศัยหดหายลงอย่างน่าใจหาย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติ หากแต่ฝังลึกลงในจิตใจของเด็ก ๆ ว่าอนาคตของพวกเขาไม่มั่นคง และบางครั้งอาจไม่สามารถจินตนาการถึงมันได้เลย
จากบริบทเช่นนี้ องค์การยูนิเซฟ (UNICEF) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเชื่อมั่นว่าเด็ก ๆ ไม่ควรเป็นเพียงผู้รับผลกระทบ แต่ต้องเป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลง แนวทางนี้สะท้อนผ่านการสนับสนุนด้านนโยบาย การศึกษา และการสร้างพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ในเนปาล รัฐบาลได้บรรจุหลักสูตรสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในระดับชาติ โดยมีการอบรมครู สนับสนุนโรงเรียนสีเขียว และส่งเสริมกิจกรรมที่ช่วยสร้างทักษะ เช่น การเก็บน้ำฝนหรือการแยกขยะ นอกจากนี้ยังมีเวที “Sagarmatha Sambaad” ที่เยาวชนทั่วประเทศได้มีโอกาสสื่อสารกับผู้นำประเทศ ยื่นข้อเสนอและคำประกาศของเด็กและเยาวชนต่อรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม
ในมัลดีฟส์ UNICEF เน้นสร้างความเปลี่ยนแปลงจากชุมชน โดยสนับสนุนชมรมสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ ร่วมมือกัน และนำความรู้ออกไปสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่จริง ทั้งยังมีโครงการพลังงานสะอาดในโรงพยาบาล รวมถึงการจัดกิจกรรม “Youth Track to COP” เพื่อเตรียมความพร้อมให้เยาวชนสามารถแสดงบทบาทในเวทีระดับโลกได้อย่างมั่นใจ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ UNICEF ทำงานร่วมกับรัฐบาลในการปรับปรุงคำมั่นภายใต้ความตกลงปารีส หรือ NDCs ให้มีความ “อ่อนไหวต่อเด็ก” มากยิ่งขึ้น เช่น ในเนปาลมีเป้าหมายสร้างโรงเรียนที่ทนทานต่อภัยธรรมชาติ และเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบาย ในขณะที่มัลดีฟส์เน้นการเข้าถึงน้ำสะอาด พัฒนาระบบสุขภาพ และเปิดพื้นที่ให้เยาวชนกำหนดทิศทางประเทศร่วมกับผู้ใหญ่
กรณีของ “ซาบู” เป็นภาพสะท้อนความหวังในภาวะวิกฤต เธอไม่เพียงเรียนรู้จากครู แต่ยังศึกษาสมุนไพรท้องถิ่นจากผู้เฒ่าในหมู่บ้าน และนำความรู้ไปถ่ายทอดให้เพื่อน ๆ ด้วยตัวเอง กลายเป็นสะพานเชื่อมคนต่างรุ่นด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น การกระทำของซาบูแม้จะเล็ก แต่กลับส่งผลลึกซึ้งต่อชุมชน และยืนยันได้ว่าเด็ก ๆ คือ “ผู้นำ” ไม่ใช่เพียง “ผู้ถูกกระทำ”
ในท้ายที่สุด วิกฤตโลกร้อนไม่ใช่เพียงเรื่องของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นเรื่องของความยุติธรรมระหว่างรุ่น เราจะไม่สามารถสร้างโลกที่ยั่งยืนได้ หากละเลยเสียงของคนรุ่นต่อไป เพราะหากเราสามารถสร้างสังคมที่ปกป้องและส่งเสริมเด็กให้เติบโตท่ามกลางวิกฤตได้สำเร็จ นั่นคือหลักประกันว่าทั้งสังคมจะสามารถผ่านพ้นและพัฒนาไปได้อย่างมั่นคง ดังที่ UNICEF กล่าวไว้ว่า “ถ้าเราทำให้ถูกต้องเพื่อเด็ก เราก็ทำให้ถูกต้องเพื่อทุกคน”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
