รีเซต

บะหมี่ซองฮิต! คนไทยกินติดท็อป 3 โลก เฉลี่ย 58 ซองต่อคนต่อปี l การตลาดเงินล้าน

บะหมี่ซองฮิต! คนไทยกินติดท็อป 3 โลก เฉลี่ย 58 ซองต่อคนต่อปี l การตลาดเงินล้าน
TNN ช่อง16
12 มิถุนายน 2568 ( 17:14 )
15

ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศ มีการเติบโตต่อเนื่อง ข้อมูลล่าสุด ของปี 2567 พบว่า มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ราว 22,778 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 7.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ซึ่งข้อมูลจาก บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟู้ด จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ มาม่า ยังครองความเป็นผู้นำในตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด อยู่ที่ร้อยละ 48.6 ทั้งคาดการณ์ว่า ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจะมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นต่อเนื่องในปี 2568 แม้สถานการณ์ด้านต้นทุนวัตถุดิบจะมีความผันผวนก็ตาม

อย่างไรก็ดี การเติบโตดังกล่าว สอดคล้องกับการเติบโตของการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในตลาดโลก โดยข้อมูลตามรายงาน ที่ออกมาเป็นประจำทุกปี ของสมาคมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโลก ย้อนหลังไป 5 ปี ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปีล่าสุด 2567 จะเห็นได้ว่ามีตัวเลขการบริโภคเติบโตต่อเนื่องขึ้นทุกปี 

โดยปี 2563 มีตัวเลขการบริโภคทั่วโลก เป็นจำนวนกว่า 116,000 ล้านหน่วยบริโภค หรือล้านเสิร์ฟ ต่อมาปี 2564 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนกว่า 118,000 ล้านเสิร์ฟ และ ปี 2565 จำนวน 121,000 ล้านเสิร์ฟ ส่วนปี 2566 มีจำนวน 120,000 ล้านเสิรฟ์ จนปีล่าสุด 2567 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 123,000 ล้านเสิร์ฟ

การบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทย อยู่อันดับ 9 ของโลก มีตัวเลขเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ย้อนหลังไป 5 ปี มีจำนวนกว่า 3,700 ล้านเสิร์ฟ ในปี 2563 จนเมื่อปีที่แล้ว การบริโภคของคนไทยทะลุกหลัก 4,000 ล้านเสิร์ฟไปเป็นปีแรกด้วย

แต่ตัวเลขของไทยก็ยังห่างจาก 3 อันดับแรกของโลก ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีจำนวนประชาชนหนาแน่น ได้แก่ จีนและฮ่องกง ปีที่ผ่านมามีการบริโภค เป็นจำนวนกว่า 43,000 ล้านเสิร์ฟ, อันดับสองคือ อินโดนีเซีย จำนวนกว่า 14,000 ล้านเสิร์ฟ และ อินเดีย อันดับ 3 จำนวน 8,300 ล้านเสิร์ฟ

อย่างไรก็ดี หากเทียบการบริโภคเฉลี่ยต่อจำนวนประชากร มี 3 ประเทศที่มีการบริโภคเฉลี่ยต่อคนต่อปีสูงสุด ซึ่งไทยติดอยู่ในท็อป 3 นี้ด้วย ได้แก่ เวียดนาม เฉลี่ย 81 เสิร์ฟต่อคนต่อปี นั่นหมายถึงว่า ชาวเวียดนามกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 มื้อในทุก ๆ 4 วัน ถัดมาอันดับ 2 คือ เกาหลีใต้ กินรามยอน หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเฉลี่ยอยู่ที่ 79 เสิร์ฟต่อคนต่อปี

และไทยอยู่อันดับที่ 3 มีตัวเลขเฉลี่ยที่ 58 เสิร์ฟ (58 ซอง) ต่อคนต่อปี ซึ่งหมายถึงต่อคนไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ซองต่อสัปดาห์ หรือ สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง  แต่ยังเห็นโอกาสการเติบโตได้อีกหากเทียบกับเวียดนาม และเกาหลีใต้ 

สำหรับในประเทศไทย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่อยู่กับคนไทยมายาวนาน 3 ยี่ห้อดัง ได้แก่ มาม่า ไวไว และยำยำ จากการสำรวจผลประกอบการของทั้ง 3 แบรนด์ พบว่าทั้งรายได้ และผลกำไร จะเห็นการเติบโตสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

โดยผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี จากทั้ง 3 ยี่ห้อ ระหว่างปี 2565-2567 เริ่มกันที่ บริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ มาม่า มีตัวเลขเติบโตขึ้นทุกปี โดยปี 2565 มีรายได้รวม กว่า 16,000 ล้านบาท และกำไรกว่า 1,900 ล้านบาท

ต่อมาปี 2566 รายได้เพิ่มเป็น 17,000 ล้านบาท และกำไร 2,900 ล้านบาท และปีที่แล้ว 2567 มีรายได้รวม 19,000 ล้านบาท และกำไรกว่า 3,500 ล้านบาท

ส่วน บริษัทโรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด หรือ ไวไว ปี 2565 มีรายได้รวมกว่า 7,700 ล้านบาท และกำไร 125 ล้านบาท ต่อมาปี 2566 รายได้รวมที่ 7,800 ล้านบาท กำไรเพิ่มเป็น 571 ล้านบาท และปี 2567 รายได้รวมเพิ่มเป็น 8,800 ล้านบาท กำไรสุทธิก็เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1,100 ล้านบาท

และยำยำ บริษัท วันไทยอุตสาหกรรมการอาหาร จำกัด  ปี 2565 มีรายได้รวมกว่า 6,000 ล้านบาท กำไร 296 ล้านบาท ส่วน ปี 2566 รายได้รวมเพิ่มเป็น 6,800 ล้านบาท และมีกำไร 287 ล้านบาท และปี 2567 รายได้รวม 7,500 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 727 ล้านบาท 

จากอัตราการเติบโตต่อเนื่องของตลาดในภาพรวม ทำให้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งนอกจาก 3 แบรนด์หลักในประเทศแล้ว หลายปีที่ผ่านมา มีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งแบรนด์ต่างชาติ และแบรนด์น้องใหม่จากในประเทศ อีกทั้งยังทลายกำแพงความคิดด้านราคา ที่ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ซองละ 7 บาท อีกต่อไป

โดยแบรนด์ดังต่างชาติที่มีจำหน่ายในไทย เช่น นิชชิน จากญี่ปุ่น ส่วนเกาหลีใต้ ที่มาพร้อมกับกระแสซีรีส์เกาหลี ก็มีทั้ง นงชิม และ ซัมยัง เข้ามาทำตลาดในไทย เสิร์ฟรสชาติใหม่อย่างต่อเนื่อง และปลายปีที่ผ่านมา มีแบรนด์รามยอนจากเกาหลีใต้อีกแบรนด์ เข้ามาเปิดตัวในไทย คือ บิบิโก รามยอน

ส่วนแบรนด์น้องใหม่ในประเทศเอง เช่น บะหมี่มาเฟีย ของคุณเป๊ก สัณณ์ชัย เองตระกูล ก็ประกาศขอมาร่วมชิงส่วนแบ่งตลาดนี้ด้วย หลังจากซุ่มพัฒนามานานกว่า 4 ปี 

ก่อนหน้านี้คุณ พันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) พูดถึงการเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ต่างชาติ บอกว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากต่างชาติเข้ามาตีตลาด ราว ๆ 5-10 ปีที่ผ่านมา แม้จะจำหน่ายในราคา 35 บาท 45 บาท แต่แบรนด์จากต่างชาติก็ยังสามารถขายได้ และกินส่วนแบ่งตลาดไปมาก  แต่นั่นก็ทำให้บริษัทฯ เห็นเป็นโอกาส ในการรีแบรนด์ บะหมี่โอเรียลทัล คิทเช่น กลายเป็น มาม่าโอเค ขายในราคา 15 บาท และได้รับความนิยม มีส่วนแบ่งตลาดกว่าร้อยละ 10 การที่ขายในราคาดังกล่าวได้ ก็เพราะว่าถูกบะหมี่เกาหลีทลายกำแพงราคาไปก่อนแล้ว

ล่าสุด คุณ พันธ์ ยังออกมาเคลื่อนไหวทางสื่อสังคมออนไลน์ สนับสนุนความหลากหลายทางแบรนด์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค เกิดเป็นกระแสไวรัลระหว่าง มาม่า และ ไวไว เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าตัว ระบุว่า เป็นการกระตุ้นกำลังซื้อและเพิ่มสีสันให้กับตลาด โดยหวังให้ผู้ประกอบการเห็นพ้องร่วมกันว่า การแข่งขันเชิงสร้างสรรค์ จะช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากสินค้าที่หลากหลายและมีคุณภาพ

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วง 5 เดือนแรกที่ของปี 2568 พบว่ายอดขายมาม่าเติบโตเพียงร้อยละ 1-2 จากที่มองทั้งปีจะเติบโตที่ร้อยละ 5-7 สะท้อนถึงกำลังซื้อยังเปราะบางโดยเฉพาะกำลังซื้อในกลุ่มฐานราก เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป คือ ซื้อน้อยลง และจะไม่ซื้อตุน แต่จะซื้อเท่าที่มี ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ไม่ดีนัก

แต่หากดูเฉพาะตลาดบะหมี่พรีเมียมยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของตลาดในช่วงที่เหลือยังเติบโต ขณะเดียวกัน การแข่งขันก็ร้อนแรงมากขึ้นด้วยโดยเฉพาะกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียม 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง