ลุ้นผลิตรถยนต์ในไทยฟื้นตัว ค่ายจีนลงทุนต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2568 กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รายงานถึงภาพรวมการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย
“จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนกันยายน 2568 มีทั้งสิ้น 128,104 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2568 ร้อยละ 14 และเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 4.77” โดยพบว่าการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้า(อีวี) เริ่มเห็นตัวเลขสูงขึ้น จากการผลิตเพื่อชดเชยการนำรถยนต์นั่งไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศปี 2565 - 2566 ตามเงื่อนไขของกรมสรรพสามิต ส่วนการผลิตรถกระบะดัดแปลง PPV เพื่อส่งออกและจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นจากการออกรุ่นใหม่ของบางบริษัท ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์รุ่นนี้เติบโตร้อยละ 29.95
“ถ้าดูภาพรวมการผลิตรถยนต์ช่วง 9 เดือนปีนี้ (มกราคม - กันยายน 2568 ) มีจำนวน 1,075,801 คัน ลดลงช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 4.63 แต่ทางกลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท.มั่นใจว่าการผลิตรถยนต์รวมในปี2568 จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,450,000คัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 1.3”
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท. ระบุว่า การจะให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว ในช่วงที่เหลือของเดือนต้องเร่งจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออก
ถ้าดูการผลิตรถยนต์ รายประเภท พบว่า รถยนต์ที่ผลิตลดลงมากสุด คือ กลุ่มรถยนต์นั่งในเดือนกันยายน 2568 ผลิตได้ 49,473 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.39 เป็นเพราะการผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกลดลงร้อยละ 26 จากการเลิกผลิตบางรุ่นเพื่อเปลี่ยนรุ่นใหม่ให้ตอบรับกฎข้อบังคับของประเทศคู่ค้า
ส่งผลให้ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง 9 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 395,700 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 7 โดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมัน พบว่า มีจำนวน 184,000 คัน ลดลงร้อยละ 32 ขณะที่รถยนต์นั่งไฟฟ้ามียอดผลิตเพิ่มขึ้น เช่น รถยนต์นั่ง BEV มีจำนวนกว่า 41,000 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่าตัว ( 461%) รถยนต์นั่ง PHEV มีจำนวน 15,800 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัว (246 %) เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า
สำหรับการผลิตเพื่อส่งออกเดือนกันยายน 2568 ผลิตได้ 85,625 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้าร้อยละ 2.33 ส่วนการผลิตช่วง 9 เดือน (เดือนมกราคม - กันยายน 2568) ผลิตเพื่อส่งออกได้ 708,694 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 8.46
การผลิตเพื่อการส่งออกมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 65-66 ของยอดการผลิตรถยนต์ในไทยทั้งหมด ดังนั้นหากการส่งออกยังไม่ฟื้นตัว อาจกระทบต่อภาพรวมการผลิตที่เหลือของปีได้
แต่ถ้า 2 เดือนของปีการส่งออกเพิ่มขึ้น น่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการผลิตรถยนต์ของไทยเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้ไทยเริ่มส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า(อีวี) แล้ว ดังนั้นระยะต่อไปการผลิตรถยนต์ของไทยมีโอกาสฟื้นตัวมากขึ้น เพราะขณะนี้การส่งออกรถยนต์ของไทยกว่าร้อยละ 99 ยังเป็นการส่งออกรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป ที่ใช้น้ำมัน
“ส่วนตลาดในประเทศ เริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดี ในเดือนกันยายน 2568 มีการผลิตเพื่อขายในประเทศได้ 42,479 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 23 และถ้าดูการผลิตในช่วง 9 เดือน (เดือนมกราคม - กันยายน 2568) ผลิตได้ 367,100 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 4
ส่วนการขาย พบว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนกันยายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 48,350 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 24 และตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2568 ยอดขายในประเทศรวมอยู่ที่ 477,970 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 2
ตลาดรถยนต์ในไทย เพิ่มขึ้น มาจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ที่ยังเติบโตได้ดี และในปีนี้รถอีวีหลายรุ่นมีราคาที่ถูกลงจนสามารถซื้อได้มากขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีที่ติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้าน่าสนใจมากขึ้น
แต่รถกระบะยังมียอดขายลดลงร้อยละ 4 จากการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงติดลบ แรงงานในภาคอุตสาหกรรมมีรายได้ลดลงจึงขาดกำลังซื้อ ผู้ขายสินค้าอื่น ๆ และอาหารรวมทั้งการท่องเที่ยวมีรายได้ลดลง
ไทยมีการลงทุนจากค่ายรถอีวีจากจีนอย่างต่อเนื่อง ค่ายรถยนต์ยี่ห้อ OMODA (โอโมด้า) และ JAECOO(เจคู่) ของกลุ่ม Chery Automobile ที่เข้ามาทำตลาดในไทยครบ 1 ปี ประกาศว่า พร้อมจะลงทุนในไทย 5,000 ล้านบาท โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ(สำนักงานส่งเสริมการลงทุน) มาตั้งแต่ปี 2567
ทาง บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ระบุว่า ในเฟสแรกจะตั้งโรงงานที่จังหวัดระยองภายในปี 2568 เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบ BEV และ HEV ปีละประมาณ 50,000 คัน และในเฟสที่ 2 ภายในปี 2571 จะขยายกำลังการผลิตถึงปีละ 80,000 คัน
ในไทยมีค่ายรถจีน 8 บริษัทมาตั้งโรงงาน เช่น MG, BYD, Changan ,GWM สิ่งสำคัญ คือ การใช้ชิ้นส่วนในไทย
นาวา จันทนสุรคน รองประธานสภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวระหว่างพาสื่อมวลชนไปเยี่ยมชม โรงประกอบ โรงแบตเตอรี่ และโรงเชื่อมของ บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 จ.ระยอง เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า อยากขอให้ผู้ผลิตรถอีวีแบรนด์จีน ไม่มองเพียงแค่เชิงตัวเลขของต้นทุนราคาชิ้นส่วนฯ กับซัพพลายเออร์ไทย เพราะจีนมีความได้เปรียบด้าน Economy of Scale ย่อมได้เปรียบด้านราคามากกว่าผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ไทย โดยอยากให้บริษัทรถยนต์แบรนด์จีนเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) มากขึ้น ให้มองกำไรเชิงพันธมิตรทางธุรกิจและช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนไทยทำให้เกิดการจ้างงาน และภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคมไทย
ปัจจุบันแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรม ยานยนต์และชิ้นส่วนลดลงเหลือประมาณ 400,000 คน จากเดิมกว่า 600,000 คน เนื่องจากการใช้ชิ้นส่วนนำเข้าจาก ต่างประเทศ ดังนั้น หากโรงงานต่างชาติในไทยเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนและ การจ้างงานในประเทศเพิ่มขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
