สรุปแนวโน้มจากมุมมองนักการตลาดที่อาจเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า
การตลาดยุคใหม่จะเป็นแค่ปลาใหญ่กินปลาเล็กคงไม่พอ ต้องเป็นปลาเร็วที่กินปลาช้าด้วย ซึ่งหมายความว่าการเป็นนักการตลาดต้องวางแผนสำหรับสิ่งที่ไม่คาดฝัน หากไม่มีความรวดเร็วในการปรับตัวและความกล้าในการตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนแผนการตลาดที่วางเอาไว้ทั้งหมดก็คงพังหมดไม่เป็นท่า ซึ่งนอกเหนือจากความผันผวนตามปกติแล้ว นักการตลาดจะต้องเผชิญกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนแล้ว ยังจำเป็นต้องปรับตัวโดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกร่วมด้วย
การล่วงรู้อนาคตคงเป็นไปได้ยาก แต่การคาดการณ์การตลาดในอีก 10 ปีข้างหน้านั้นพอจะเป็นไปได้ ผู้นำในอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกได้คาดการณ์แนวโน้มทางการตลาดสำหรับการสร้างแบรนด์ในอีก 10 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ การสร้างภาพลักษณ์ของบริษัท การสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ หรือลักษณะของการทำโฆษณาในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร นี่คือสิ่งที่เหล่านักการตลาดจะมาบอกเล่า เพื่อที่เราจะได้เตรียมตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายในทศวรรษหน้าได้
การผสมผสานประสบการณ์ระหว่างดิจิทัลและกายภาพเพื่อสร้าง Touchpiont
Touchpiont คือ จุดที่ลูกค้าเจอสินค้าและบริการของเรา โดยในอนาคตของความสำเร็จของการโฆษณา (Advertising) นั้นขึ้นอยู่กับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าบนพื้นฐานของความไว้วางใจ การสนับสนุน และสร้างคุณค่า เมื่อมีการผสานรวมประสบการณ์ของผู้บริโภคทางดิจิทัลและทางกายภาพที่มากขึ้น ผู้ซื้อจะคาดหวังว่าจะมีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับแบรนด์ Touchpiont เหล่านี้จะต้องสร้างขึ้นจากหลักการสำคัญที่ให้ทั้งความเป็นส่วนตัว เทคโนโลยี จุดมุ่งหมาย และความยั่งยืน
การให้อำนาจการตัดสินใจกับผู้บริโภค จะนำไปสู่การโต้ตอบที่มีความหมายมากขึ้น
นักการตลาดจะต้องปลดล็อกความคิดแบบเดิม ๆ และเปิดประสบการณ์ใหม่ในการดึงข้อมูลจากผู้บริโภคมาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด โดยในอนาคตความเป็นส่วนตัวจะยังคงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ จึงจำเป็นจะต้องได้รับการอนุญาตในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการพิจารณาข้อมูลไบโอเมทริกซ์ (Biometrics) ที่ช่วยให้สามารถสนทนาเชิงลึกกับลูกค้าได้อย่างมีความหมาย โดยการเปิดใช้งานประสบการณ์เหล่านี้ ยังรวมถึงการนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการ
การยิงโฆษณาจะมีความสำคัญมากขึ้น
พลังของเทคโนโลยีจะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยปลดล็อกศักยภาพของมนุษย์ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะศักยภาพของระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เราส่งข้อความไปหาผู้ชมที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ได้ในปริมาณที่ต้องการ และอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับการตัดสินใจเลือกและความเป็นส่วนตัวของผู้ชม ซึ่งการยิงโฆษณานั้นช่วยให้เราเลือกรูปแบบการทำโฆษณา การเสนอราคา และการจัดสรรงบประมาณได้ แต่ในปี 2032 การทำโฆษณาจะกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความสมบูรณ์มากขึ้น เพราะจะมีระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาเป็นเครื่องมือสำคัญทางการตลาดที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
แบรนด์ที่ดึงดูด Gen Z ได้ จะต้องมีมาตรฐานที่สูงขึ้นตามค่านิยม
Gen Z เป็นคนในเจเนอเรชันที่มีความหลากหลาย และจะกลายเป็นผู้บริโภควัยผู้ใหญ่ในปี 2032 โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความคาดหวังจากการใช้จ่ายในแต่ละครั้งสูง อีกทั้งยังต้องการให้บริษัทและผลิตภัณฑ์สะท้อนถึงคุณค่าและชุมชนของพวกเขา ทั้งจากตัวแบรนด์เองและการโฆษณาอออกสู่ภายนอก โดยมีเกณฑ์ในการตัดสินใจที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกปี โดยจะประเมินจากนโยบายภายใน แนวร่วมทางการเมือง การตลาดภายนอก และกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้นโฆษณาที่จับใจเพียงอย่างเดียวไม่อาจเอาชนะใจผู้บริโภคเหล่านี้ได้ หากไม่ได้อยู่ในมาตรฐานที่ตรงกับค่านิยม
สิ่งที่แบรนด์ทำจะช่วยบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์
แบรนด์ที่สามารถพิสูจน์ตัวตนผ่านผลิตภัณฑ์ แคมเปญโฆษณา และวัฒนธรรมของบริษัท จะกลายเป็นแบรนด์ผู้ที่เอาชนะใจผู้บริโภคได้ โดยภายในปี 2032 แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจะต้องบอกได้ว่าพวกเขาเป็นใคร มีนโยบายในการทำงานอย่างไร และให้คุณค่าและมีความหลากหลายอย่างไร การทำโฆษณาที่ไม่มีค่านิยมเหล่านี้อาจทำให้เกิดผลเสียต่อผลิตภัณฑ์และตัวแบรนด์ได้
คอนเทนต์ที่ต้องการจะกลายเป็นคอนเทนต์ที่ไม่ต้องการ
การขับเคลื่อนสังคมผ่านสื่อและการคัดสรรผ่านระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจกว่าการนำเสนอด้วยสื่อรูปแบบเดิม ๆ โดยเนื้อหาที่ถูกสร้างจากระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเนื้อหาที่มีรูปแบบที่น่าสนใจมักจะได้รับความสนใจเป็นอันดับแรก ซึ่งจะส่งผลกับการตัดสินใจเลือกของผู้บริโภค โดยหากผู้บริโภคเลือกที่จะไม่ติดตามสื่อนั้น ๆ ระบบ AI ก็จะแสดงผลสื่อที่ผู้บริโภคเลือกที่จะไม่รับให้เห็นน้อยลง ซึ่งเป็นวิธีการที่ผู้บริโภคสร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ผ่านแนวทางใหม่ ๆ ได้มากขึ้น
การนำเสนอคอนเทนต์ที่น่าสนใจจะถูกขัดขวาง
การนำเสนอคอนเทนต์หรือเรื่องราวที่น่าสนใจในปัจจุบัน อาจถูกขัดขวางโดยการขายตรง การสมัครสมาชิก และวิธีการอื่น ๆ ซึ่งจะทำให้มีการทำโฆษณาน้อยลงตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ และทำให้เห็นความแตกต่างของการทำโฆษณาของปัจจุบันและในอนาคต ดังนี้
ภาพลักษณ์ของแบรนด์ถูกนำเสนอออกมาเป็นภาพ
การออกแบบจะเปลี่ยนจากการแก้ปัญหา ไปเป็นการพูดถึงปัญหาแทน
แบรนด์คอนเทนต์จะถูกสร้างขึ้นทั้งทางกายภาพ และในโลกเสมือน เพื่อนำเสนอสินค้าบริการ
ทุก Touchpiont ของแบรนด์ จะมีความสำคัญต่อลูกค้า
หมดยุคที่แบรนด์จะเป็นผู้ควบคุมและผู้บริโภคเป็นฝ่ายรอรับเพียงอย่างเดียว เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ จากการมีส่วนร่วมโดยตรงบนโซเชียลมีเดียไปจนถึงความช่วยเหลือจริงที่นำเสนอผ่านโปรแกรมและประสบการณ์ต่าง ๆ โดยความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในอนาคตจะถูกสร้างขึ้นในทุก Touchpiont ตั้งแต่สิ่งที่แบรนด์พูดไปจนถึงสิ่งที่ทำ ดังนั้นทุกก้าวของแบรนด์จึงมีความสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค
ความไว้วางใจในแบรนด์จะขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ถูกต้อง
นักการตลาดจะทำงานร่วมกับผู้ดูแลข้อมูลขององค์กร เพื่อบอกเล่าข้อมูลที่ถูกต้องของทั้งตัวสินค้า บริการ และตัวองค์กรออกไปสู่ผู้บริโภค ขณะที่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางออนไลน์มากขึ้น การที่องค์กรมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องและมีความรับผิดชอบจะช่วยให้สามารถคัดเลือกข้อมูลที่เหมาะสม ส่งออกไปหาบุคคลที่เหมาะสม ในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ จนสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีและทำให้ผู้บริโภคเกิดความไว้วางใจในตัวองค์กร
ลูกค้าจะเป็นผู้ออกแบบโลกแห่งการตลาด โดยมีประสิทธิภาพคงเดิม
ภาพยนตร์ไซไฟ (Sci-Fi) มักนำเสนอประสบการณ์ทางการตลาดแห่งอนาคตว่าเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นส่วนตัวของเรา แต่ในความเป็นจริงโลกที่ทุกคนมีอำนาจในการออกแบบ ในอนาคตผู้บริโภคจะได้สัมผัสกับเนื้อหาและบริการที่ตรงกับความต้องการ ซึ่งมีสิทธิ์ในการอนุญาต ปฏิเสธ หรือไม่อนุญาตให้แบรนด์เข้าถึงพวกเขาได้
การเชื่อมต่อจะเป็นสาระสำคัญของการตลาด
การตลาดที่ดึงดูดใจจะถูกสร้างขึ้นไปพร้อมกับความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคจะสามารถควบคุมแบรนด์ที่พวกเขาเลือกได้อย่างเต็มที่ โดยเลือกได้ว่าจะอนุญาตให้แบรนด์เข้าถึงความเป็นส่วนตัวหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วการตลาดกลับไปการเชื่อมโยงแบรนด์และผลิตภัณฑ์กับผู้บริโภค แต่การจะทำเช่นนั้นได้ ความไว้วางใจจะต้องเป็นแกนหลักที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์นี้
แนวโน้มทั้งหมดเป็นการคาดการณ์จากนักการตลาดจากบริษัทชั้นนำของโลก ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันประกอบกับความน่าจะเป็นในอนาคต โดยเหตุการณ์ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นไปตามการคาดการณ์หรืออาจเกิดขึ้นเร็วกว่านั้นก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับความรวดเร็วของการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน เพราะหากมองตามความเป็นจริงทั้ง 11 ข้อ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องไกลตัว สำหรับบางบริษัทที่มีความกล้าและความพร้อมมากพอสามารถนำไปช่วยในการเตรียมตัวหรือเริ่มปรับใช้ตั้งแต่ตอนนี้ได้เลย
ที่มาของข้อมูล Thinkwithgoogle
ที่มาของรูปภาพ Pixabay