สงครามสั้นที่ทำไทยเจ็บยาว การค้าชายแดนหายเกือบ 100% SMEs ทยอยปิดตัว

เหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย กัมพูชาที่เริ่มลุกลามตั้งแต่เดือน 6 ปี 2568 และรุนแรงขึ้นในช่วงปลายปี มักถูกพูดถึงในเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคงเป็นหลัก ทว่าในอีกด้านหนึ่ง เมืองชายแดน ร้านค้า รถบรรทุก และแรงงานนับแสนกลับเป็นผู้แบกรับต้นทุนที่มองไม่เห็นทันที เหตุการณ์ที่ถูกมองว่าเป็นสงครามสั้นริมแดนจึงกลายเป็นวิกฤตยืดเยื้อสำหรับเศรษฐกิจชายแดนไทย
ก่อนเกิดความตึงเครียด แนวชายแดนตั้งแต่ตราด จันทบุรี สระแก้ว ลงมาถึงสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี คือเส้นเลือดเศรษฐกิจที่ไม่เคยหลับ ด่านการค้า ตลาดนัดชายแดน และเส้นทางลำเลียงสินค้าหลายหมื่นตันต่อเดือนหมุนเวียนทั้งสินค้าอุปโภคบริโภค วัตถุดิบเกษตร และชิ้นส่วนอุตสาหกรรม การเปลี่ยนจากภาพคึกคักไปสู่ความเงียบภายในเวลาไม่กี่เดือน จึงสะท้อนถึงแรงสั่นสะเทือนที่ลึกกว่าข่าวการปะทะตามแนวสันเขา
ชายแดนเงียบ เมื่อด่านปิด 18 จุดใน 7 จังหวัด
มาตรการควบคุมและจำกัดการผ่านแดนที่เข้มข้นขึ้นครอบคลุมจุดผ่านแดนทั้งหมด 18 จุด ใน 7 จังหวัดชายแดน แบ่งเป็นจุดผ่านแดนถาวร 8 แห่ง จุดผ่อนปรนการค้า 9 แห่ง และจุดผ่อนปรนด้านการท่องเที่ยว 1 แห่ง ด่านสำคัญอย่างอรัญประเทศ คลองใหญ่ และด่านศุลกากรจันทบุรี ที่เคยเป็นหัวใจของการค้าระหว่างไทย กัมพูชาถูกปิดหรือจำกัดการใช้ จนมูลค่าการค้ารวมจากทั้งระบบหายไปเกือบทั้งหมด
ปี 2567 การค้าชายแดนไทย กัมพูชามีมูลค่ารวมประมาณ 174,530 ล้านบาท ไทยส่งออก 141,846 ล้านบาท และนำเข้า 32,684 ล้านบาท ได้ดุลการค้ากว่า 109,000 ล้านบาท แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าชายแดนผ่านทุกช่องทางลดลงเหลือประมาณ 95,554 ล้านบาท หดตัวราว 36 เปอร์เซ็นต์ เดือน 6 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มมาตรการควบคุมด่าน มูลค่าการค้าลดลงกว่า 23 เปอร์เซ็นต์ และลากยาวจนถึงเดือน 10 ที่ตัวเลขลดลงในระดับเกือบสิ้นสุดกิจกรรมการค้า เหลือเพียงประมาณ 9 ล้านบาทเท่านั้น สัดส่วนการหดตัวระดับเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์นี้ทำให้หน่วยงานเศรษฐกิจประเมินว่าความเสียหายทางการค้าชายแดนอยู่ที่วันละราว 500 ล้านบาท
สำหรับชุมชนในเมืองชายแดน ตัวเลขเหล่านี้หมายถึงรถบรรทุกที่หายไปจากลานจอด ตลาดที่เปิดแล้วไร้คนข้ามแดน และโกดังที่เต็มไปด้วยสินค้าค้างสต็อกโดยไม่มีคำตอบชัดเจนว่าเมื่อใดจะสามารถกลับมาขายได้อีกครั้ง
สินค้าไปไม่ถึงปลายทาง ห่วงโซ่การผลิตไทยสะดุด
เบื้องหลังการปิดด่านคือสินค้าจำนวนมากที่เคยเคลื่อนย้ายได้อย่างต่อเนื่องแต่ต้องหยุดชะงักลง สินค้าส่งออกหลักจากไทยไปกัมพูชาในช่วงต้นปี 2568 เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
เครื่องดื่มบรรจุกล่อง เครื่องดื่มชูกำลัง และน้ำอัดลมที่เคยครองชั้นวางสินค้าในฝั่งกัมพูชามียอดส่งออกหดตัวลงมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันดีเซลและน้ำมันสำเร็จรูปอื่น รวมถึงส่วนประกอบรถยนต์และจักรยานยนต์แทบไม่สามารถส่งออกผ่านด่านเดิมได้ในบางช่วง เครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์ซ่อมบำรุงที่เคยเป็นหัวใจของการเพาะปลูกในพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชาก็ถูกจำกัดอย่างหนัก
พลังงานไฟฟ้าที่ไทยเคยส่งออกให้กัมพูชามียอดลดลงเกือบครึ่งจากการที่กัมพูชาประกาศลดการนำเข้าไฟฟ้าจากไทย ขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภคอย่างกาแฟสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์ความงามกลายเป็นสินค้าค้างอยู่ในคลังของโรงงานและผู้ค้าส่งในไทย สินค้ากลุ่มนี้รวมกันคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าราว 30 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปกัมพูชา การหายไปของตลาดหลักจึงไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับผู้ผลิตและผู้ประกอบการรายย่อยที่พึ่งพิงชายแดนเป็นทางออกสำคัญ
วัตถุดิบนำเข้าเลื่อนกำหนด โรงงานไทยเจอต้นทุนใหม่
ผลกระทบไม่ได้อยู่เพียงด้านการส่งออกเท่านั้น การนำเข้าวัตถุดิบสำคัญจากกัมพูชาก็ถูกตัดทอนลงอย่างรวดเร็ว มันสำปะหลังที่มีสัดส่วนมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่านำเข้าจากกัมพูชาเป็นวัตถุดิบหลักของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ เมื่อวัตถุดิบกลุ่มนี้ผ่านแดนไม่ได้ โรงงานในไทยต้องเร่งหาซื้อจากแหล่งอื่นในประเทศหรือประเทศเพื่อนบ้านเพิ่ม ซึ่งมักมาพร้อมต้นทุนที่สูงกว่า
เศษโลหะอย่างอลูมิเนียมและทองแดงที่เคยไหลเข้ามาสู่ระบบรีไซเคิลไทยก็ลดลง จนผู้ประกอบการบางรายต้องลดกำลังการผลิตหรือต้องหันไปนำเข้าจากแหล่งที่ไกลออกไป วัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับลวดสายไฟและชิ้นส่วนยานยนต์จากโรงงานในกัมพูชาที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุตสาหกรรมไฟฟ้าและยานยนต์ไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
ผู้ประกอบการขนาดใหญ่บางรายสามารถปรับเส้นทางโลจิสติกส์ไปใช้การขนส่งทางทะเลผ่านท่าเรือแหลมฉบัง มาบตาพุด หรือท่าเรือกรุงเทพ หรือใช้การขนส่งทางอากาศผ่านสนามบินสุวรรณภูมิในสินค้าบางชนิด แต่ทุกทางเลือกมาพร้อมต้นทุนใหม่และความเสี่ยงเรื่องเวลา ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยไม่มีทุนพอสำหรับการปรับเปลี่ยนเช่นนั้น
แรงงานกัมพูชาเคลื่อนย้าย เมืองชายแดนเผชิญภาวะขาดคน
ข้อมูลล่าสุดของหน่วยงานด้านแรงงานระบุว่า แรงงานกัมพูชาที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องในไทยมีมากกว่า 512,000 คน และเมื่อรวมแรงงานที่อยู่ระหว่างกระบวนการจัดระเบียบ ตัวเลขที่แท้จริงอาจสูงใกล้ 800,000 คน แรงงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตร การก่อสร้าง ภาคบริการ และโรงงานจำนวนมากในจังหวัดชายแดน
เมื่อสถานการณ์ชายแดนตึงเครียด การเดินทางเข้าออกของแรงงานกลุ่มนี้เริ่มไม่แน่นอน หลายคนตัดสินใจกลับประเทศชั่วคราวเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยหรือการควบคุมด่านที่เข้มงวดขึ้น ขณะที่ผู้ที่ยังอยู่ในไทยก็ต้องใช้เส้นทางอ้อม ใช้เวลานานขึ้นและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากโดยเฉพาะ SMEs ในพื้นที่ชายแดนเริ่มรายงานปัญหาขาดแคลนแรงงาน ร้านอาหารต้องลดเวลาเปิดให้บริการ โรงงานลดรอบการผลิต งานก่อสร้างบางแห่งต้องเลื่อนกำหนดส่งมอบ การหาคนมาทดแทนในระยะสั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากแรงงานจากจังหวัดอื่นไม่พร้อมย้ายถิ่น และต้องใช้เวลาในการฝึกทักษะ
นักวิชาการด้านแรงงานจึงเสนอให้ไทยเตรียมนโยบายรองรับแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านอื่น เช่น เมียนมา ลาว หรือเวียดนาม เพื่อไม่ให้ระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทยพึ่งพาแรงงานจากแหล่งเดียวมากเกินไป และเพื่อส่งสัญญาณว่าไทยมีความสามารถในการบริหารจัดการโครงสร้างแรงงานอย่างยืดหยุ่น
เมืองท่องเที่ยวรอบปราสาทสำคัญกลายเป็นเขตเงียบ
การปะทะตามแนวสันเขายังส่งผลถึงการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรายงานว่า ระหว่างวันที่ 28 เดือน 7 ถึงช่วงต้นเดือน 8 ปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยลดลงราว 18 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567
นักท่องเที่ยวจากกัมพูชาซึ่งเคยเป็นกลุ่มสำคัญแทบหายไปเกือบทั้งหมด ขณะที่ตลาดจีนซึ่งเคยเป็นแรงขับสำคัญก็ลดลงราว 40 เปอร์เซ็นต์จากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ และความกังวลเรื่องความปลอดภัย นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย อินเดีย และรัสเซียยังเดินทางเข้ามา แต่หลายกลุ่มหลีกเลี่ยงพื้นที่ชายแดนที่มีข่าวความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง
แหล่งท่องเที่ยวตามแนวชายแดนหลายแห่งต้องปิดหรือจำกัดการเข้าพื้นที่ อุทยานที่เกี่ยวข้องกับเขาพระวิหารด้านไทย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติริมเส้นแบ่งเขตแดนใน 7 จังหวัดอยู่ภายใต้มาตรการเข้มงวด โรงแรม รีสอร์ท และโฮมสเตย์ในพื้นที่รายงานการยกเลิกห้องพักรวมหลายพันห้อง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภาคท่องเที่ยวไว้ราว 2,900 ถึง 3,000 ล้านบาทต่อเดือน
เมื่อมองทั้งประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 19.5 ล้านคน ลดลงราว 6.8 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน เป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี ที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในภูมิภาค
SMEs ชายแดนติดกับดักสภาพคล่อง
ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่สุดคือ SMEs ที่ตั้งอยู่ในเมืองชายแดน ตั้งแต่ร้านขายส่งที่เคยข้ามแดนไปเปิดแผงตลาดฝั่งกัมพูชา ร้านอาหารที่รองรับคนขับรถบรรทุกและพ่อค้า ไปจนถึงร้านค้าปลีกในตลาดชายแดนที่เคยมีผู้คนจากทั้ง 2 ฝั่งมาเดินจับจ่ายทุกวัน
เมื่อด่านปิด รายได้จากลูกค้าต่างประเทศหายไปทันที แต่ค่าเช่าที่ ค่าจ้างพนักงาน และดอกเบี้ยสินเชื่อยังเดินต่อเนื่อง สินค้าที่สั่งเตรียมไว้เพื่อขายข้ามแดนกลายเป็นสต็อกค้างที่ใช้เงินทุนจมอยู่ในโกดัง ระบบขนส่งที่เคยใช้เส้นทางใกล้ผ่านด่านหน้าบ้านต้องเปลี่ยนไปใช้เส้นทางไกลขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าน้ำมันและเวลาขนส่งเพิ่มขึ้น
ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเริ่มใช้เงินออมส่วนตัวหรือเงินเก็บของครอบครัวเพื่อประคองธุรกิจ หลายรายต้องตัดสินใจลดจำนวนพนักงาน หรือปิดกิจการชั่วคราวเพื่อรอดูสถานการณ์ ผู้ประกอบการบางคนยอมรับตรงไปตรงมาว่าหากด่านยังไม่กลับมาเปิดในระดับใกล้เคียงเดิมในระยะกลาง ตนเองอาจไม่เหลือแรงพอจะกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
มาตรการเยียวยาและบททดสอบความเชื่อมั่นระยะยาว
ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลและหน่วยงานด้านการเงินได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือหลายชุด กระทรวงการคลังนำโครงการค้ำประกันสินเชื่อสำหรับ SMEs วงเงินรวมหลายพันล้านบาทออกมา เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพยังเข้าถึงแหล่งทุนได้ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมมีมาตรการผ่อนผันการชำระค่าธรรมเนียมและขยายเวลาพักชำระค่างวดสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ
สถาบันการเงินบางแห่งเสนอดอกเบี้ยพิเศษในระดับต่ำสำหรับครัวเรือนและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ปะทะ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานพัฒนา SMEs ทำงานร่วมกับธนาคารเฉพาะกิจในการออกมาตรการพักชำระหนี้ เสริมทุนหมุนเวียน และจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้า รวมถึงการผลักดันให้ผู้ประกอบการเรียนรู้การขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เศรษฐกิจจำนวนหนึ่งมองว่า มาตรการด้านการเงินและสินเชื่อเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ หากความตึงเครียดชายแดนยังดำเนินต่อไป การฟื้นตัวของเศรษฐกิจชายแดนในระยะยาวขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยสำคัญ คือ การคลี่คลายสถานการณ์ผ่านการทูต การจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่เป็นเงื่อนไขสำคัญของความขัดแย้ง และการออกแบบยุทธศาสตร์ใหม่ให้เมืองชายแดนไม่พึ่งพิงการค้ารูปแบบเดิมเพียงมิติเดียว
ในภาพรวม สงครามสั้นริมแดนครั้งนี้ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เส้นแบ่งเขตแดนบนแผนที่อาจอยู่ไกลจากกรุงเทพฯ หลายร้อยกิโลเมตร แต่แรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจกลับเดินทางเข้ามาถึงใจกลางระบบค้า การท่องเที่ยว และตลาดแรงงานของไทยในเวลาไม่นาน คำถามที่ยังไม่มีคำตอบตายตัว คือไทยจะใช้วิกฤตรอบนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการยกเครื่องเศรษฐกิจชายแดนให้แข็งแรงและหลากหลายกว่าเดิมได้อย่างไร
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
