ทรัมป์ ออกจากโรงพยาบาลแล้ว บอกทุกคนอย่าไปกลัวโควิด-19

วันนี้( 6 ต.ค.63) ก่อนกำหนดการแถลงข่าวจากคณะแพทย์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้ทวีตข้อความว่า จะออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ในเวลาประมาณ 18.30 น.ของวันจันทร์ตามเวลาในสหรัฐ หรือ ตรงกับ 05.30 น.ของเช้าวันนี้ตามเวลาในไทย หรือ 4 วันหลังเข้ารับการรักษาตัว และกล่าวเพิ่มเติมว่า เขารู้สึก “แข็งแรงดีจริง ๆ” และยังเรียกร้องให้ประชาชนอย่ากลัวไวรัสโควิด-19 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคน และทำลายเศรษฐกิจโลกพังยับเยิน

อย่างไรก็ตาม ยังมีคงมีคำถามเกี่ยวกับอาการป่วยของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ว่าหนักขนาดไหน หลังเมื่อสุดสัปดาห์มีแถลงการณ์ที่สร้างความสับสนเกี่ยวกับสุขภาพ ทำให้ขนาดของการระบาดของไวรัสที่แท้จริงในทำเนียบขาวนั้น ยังไม่มีความชัดเจน 

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ทวีตข้อความว่า “รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ อย่ากลัวโควิด-19 อย่าปล่อยให้เชื้อไวรัสร้ายมาควบคุมชีวิตคุณ ภายใต้รัฐบาลของเขาได้พัฒนายาและความรู้ที่ยิ่งใหญ่ รู้สึกดียิ่งกว่าที่เคยเป็นเมื่อ 20 ปีก่อนเสียอีก!"

ด้านนายแพทย์ฌอน คอนลีย์ แพทย์ประจำทำเนียบขาว แถลงข่าวหน้าโรงพยาบาลวอลเตอร์ รีด เมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ วัย 74 ปี มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อกำหนดที่ให้ผู้ป่วยสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ และแม้ผู้นำสหรัฐฯยังไม่หายขาดจากโควิด-19 แต่ก็สามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านต่อได้ ข้อกำหนดดังกล่าวรวมถึงการไม่มีไข้ในช่วง 72 ชั่วโมงที่ผ่านมา และระดับอ็อกซิเจนในเลือดอยู่ในระดับปกติ

ดร.คอนลีย์ กล่าวด้วยว่า เมื่อกลับไปพักที่ทำเนียบขาว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ จะได้รับการดูแลทางการแพทย์ในระดับโลก ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ คณะแพทย์ผู้ให้การรักษาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์  เปิดเผยว่า ผู้นำสหรัฐ มีระดับการอิ่มตัวของอ็อกซิเจนในเลือดลดลง 2 ครั้ง และได้รับการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ประเภท เดซามีธาโซน (dexamethasone) ซึ่งปกติไม่ได้ใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่ร้ายแรง รวมทั้งยาต้านไวรัส เรมเดซีเวียร์ (remdesivir) ถึงกระนั้น มีคำถามสำคัญหลายอย่างที่ยังไม่ได้รับคำตอบ เช่น เชื้อไวรัสได้ทำลายปอดส่วนใดส่วนหนึ่งของประธานาธิบดีทรัมป์หรือไม่

ทั้งนี้ มีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วสหรัฐมากกว่า 7.4 ล้านราย และชาวอเมริกันเสียชีวิตเกือบ 210,000 ราย จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ 

เกาะติดข่าวที่นี่