รีเซต

รายได้ดี แต่หนี้เยอะกว่า ? สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณรายเดือนพุ่งสูงสุดประวัติการณ์ 2.91 แสนล้านเหรียญ

รายได้ดี แต่หนี้เยอะกว่า ?  สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณรายเดือนพุ่งสูงสุดประวัติการณ์ 2.91 แสนล้านเหรียญ
TNN ช่อง16
22 สิงหาคม 2568 ( 08:00 )
7

รายได้เท่าไหร่ถึงจะพอ ? สหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณรายเดือนพุ่งสูงสุดประวัติการณ์


ประธานาธิบดีทรัมป์ บอกว่านโยบายภาษีของตนเองกำลังช่วยโกยรายได้มหาศาลเข้าสู่สหรัฐอเมริกา ด้วยรายได้ที่พุ่งทะลักกว่าเดิมถึง 3 เท่า แต่ดูเหมือนว่าแค่นี้อาจจะยังคงไม่พอหรือไม่ เพราะรายจ่ายยังน้อยกว่ารายรับ โดยเฉพาะภาระหนี้ที่รัฐบาลกำลังแบกเอาไว้ พร้อมกับภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นด้วย


กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ยอดขาดดุลงบประมาณเดือนกรกฎาคมที่่ผ่านมาของรัฐบาลทรัมป์ พุ่งขึ้นไปเกือบ 20% ไปแตะระดับที่ 2.91 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่ารัฐบาลจะโกยเงินเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล จากการเก็บภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นผ่านนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตาม โดยสาเหตุหลักมาจากรายจ่ายของรัฐบาลที่มากกว่ารายรับอย่างชัดเจน 


ทั้งนี้ เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา (2568) มีการขาดดุลสูงขึ้นจากปีก่อนถึง 19% หรือกว่า 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งออกเป็นรายรับของรัฐที่เพิ่มขึ้นมาเพียงแค่ 2% เป็น 3.38 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนรายจ่ายกลับพุ่งขึ้นถึง 10% ไปอยู่ที่ 6.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และนับเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของเดือนกรกฎาคม 


อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯชี้แจงว่า รายได้จากภาษีนำเข้าในเดือนกรกฎาคม พุ่งขึ้นมาเป็น 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่เคยเก็บได้เพียงแค่ 7.1 พันล้านดอลลาร์เท่านั้นในปีก่อน ซึ่งเป็นผลพวงโดยตรงจากนโยบายภาษีของทรัมป์


สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า แม้ทรัมป์จะชอบกล้าวอ้างอยู่เสมอว่าเงินภาษีหลายพันล้านดอลลาร์กำลังไหลเข้าคลังสหรัฐฯ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาระภาษีดังกล่าวกลับตกไปอยู่กับบริษัทผู้นำเข้าด้วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักผลักภาระต่อไปยังลูกค้าที่ซื้อของ หรือผู้บริโภคในอเมริกา ด้วยการปรับราคาสินค้าที่สูงขึ้น และเห็นได้ชัดเจนจากข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคล่าสุด ที่พบว่าราคาสินค้าอย่างเฟอร์นิเจอร์ รองเท้า และชิ้นส่วนยานยนต์ต่างมีราคาที่แพงขึ้น  แต่ไปถูกหักล้างด้วยราคาน้ำมันเบนซินที่ลดลงไป ทำให้ดัชนีโดยรวมไม่เร่งตัวขึ้นมา


แต่อย่างไรก็ตามภาษีของทรัมป์ก็ยังคงมีส่วนช่วยรายได้ของประเทศได้จริง เพราะหากมองไปที่ภาพรวม 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ (คือนับตั้งแต่ตุลาคมปีที่แล้ว(2567) มาถึงกรกฎาคมปีนี้ (2568)) จะพบว่ารัฐบาลทรัมป์เก็บภาษีนำเข้าได้รวมทั้งสิ้น 1.357 แสนล้านดอลลาร์ เป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากถึง 116%  แต่ว่ายอดขาดดุลงบประมาณสะสมก็ยังพุ่งสูงถึง 1.629 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นมา 7% จากปีก่อนหน้า

ทำไมสหรัฐฯ ถึงขาดดุลงบประมาณ ?


สาเหตุเพราะรายได้น้อยกว่ารายจ่าย ภาษีนำเข้าที่กำลังเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเริ่มต้นเช่นนี้ ยังไม่มากเพียงพอที่จะมาช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของรัฐบาลได้ โดยเฉพาะโครงการ Medicare สำหรับผู้สูงอายุ และ Medicaid สำหรับผู้มีรายได้น้อย ที่ล่าสุดงบบานปลายเพิ่มขึ้นถึง 10 % หรือเพิ่มขึ้นมา 141,000 ล้านดอลลาร์  ไปแตะที่ 1.557 ล้านล้านดอลลาร์  


ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านบำนาญประกันสังคม ซึ่งเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่สุด ก็เพิ่มขึ้นมาอีกเช่นกัน 9% อยู่ที่ 1.08 แสนล้านดอลลาร์ 108,000 ล้านดอลลาร์ แตะ 1.368 ล้านล้านดอลลาร์


ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ปัญหาจากหนี้ และมีภาระดอกเบี้ยมหาศาล ที่ทรัมป์กำลังแบกเอาไว้จนหลังแอ่น  ดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกายังคงพุ่งไม่หยุด โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากถึง 6% หรือ 57,000 ล้านดอลลาร์ จากปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นและระดับหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้นด้วย 


ด้าน สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ทาง Fox Business Network ระบุว่าการที่รายได้ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้นมหาศาลจากภาษีนำเข้าของทรัมป์ จะทำให้ศาลสูงสุดตัดสินคัดค้านมาตรการภาษีของทรัมป์ได้ยากขึ้น หากมีการยื่นฟ้องในประเด็นนี้


ความเห็นจากนักวิเคราะห์ "เคน มาเทนี" Ken Matheny ผู้อำนวยการเศรษฐศาสตร์มหภาคจาก Budget Lab ของมหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า ยังไม่ชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วสหรัฐฯจะสร้างรายได้จากภาษีนำเข้าในแต่ละเดือเพิ่มขึ้นได้อีกมากน้อยเพียงใด  เพราะก่อนหน้านี้อัตราภาษีนำเข้ายังอยู่ประมาณ 10% เท่านั้น และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอัตราภาษี 18% ตามประกาศครั้งล่าสุด  


นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่รายได้ภาษีของสหรัฐฯจะพุ่งขึ้นมาได้อีกในระยะสั้นๆ อีกหนึ่งระลอก เพราะคาดว่ายังมีอีกหลายบริษัทที่กักตุนสินค้าไว้และยังไม่ได้เสียภาษี เพื่อรอดูท่าทีและหวังว่าอัตราภาษีจะลดลง แต่เมื่อถึงท้ายที่สุดแล้ว สินค้าเหล่านี้ก็จะต้องถูกนำเข้ามาในประเทศและชำระภาษีอยู่ดี 

ขาดทุนวันนี้ แต่วันหน้าอาจจะได้กำไร ?


ภาษีทรัมป์ยังไม่จบแค่เพิ่มเริ่มต้น โดยเฉพาะการขึ้นภาษีตอบโต้ที่เพิ่งมีผลไปเมื่อ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา (2568) สหรัฐฯคาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้กว่า  5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน


โฮเวิร์ด ลุทนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า เขาคาดการณ์ว่าสหรัฐฯจะสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีนำเข้าสูงถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือมากกว่านั้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนที่แล้ว ด้วยผลจากมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับ 90 ประเทศทั่วโลก ที่เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 และภาษีจากรายกลุ่มอุตสาหกรรมจากสินค้าต่างๆ ทั้งชิปเซมิคอนดักเตอร์ และยาหรือสินค้าเภสัชภัณฑ์ต่างๆอีกด้วย 


ทั้งนี้ มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ครั้งล่าสุด ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯแตะระดับสูงสุดในรอบหนึ่งศตวรรษ โดยประเทศคู่ค้าของสหรัฐต้องเผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรระหว่าง 10%-50%


นอกจากนี้ยังต้องจับตาภาษีของสินค้าต่างๆ หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศแผนการเก็บภาษีนำเข้าชิปและเซมิคอนดักเตอร์สูงถึง 100% แต่จะยกเว้นให้กับผู้ผลิตที่ให้คำมั่นว่าจะตั้งโรงงานผลิตในสหรัฐฯ พร้อมกับขู่เรียกเก็บภาษียา ขึ้นสู่ระดับ 250% ในอนาคต 


ขณะที่มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเป็นสิ่งที่สหรัฐฯใช้ในการกดดันให้ชาติคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน บราซิล และอินเดีย ต้องเร่งหาทางเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ดีขึ้น เช่น การเปลี่ยนนโยบายหรือเปิดตลาดให้กับสินค้าอเมริกันมากขึ้น หรือแม้กระทั่งเงื่อนไขทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่สหรัฐฯสั่งห้ามการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย โดยอ้างมาเป็นการหนุนสงครามยูเครน และในระหว่างนี้ยังคงมีอีกหลายประเทศที่ยังเดินหน้าเจรจาข้อตกลงกับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้รับอัตราภาษีที่ผ่อนปรนมากขึ้น


ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์บน Truth Social ว่า “เงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐจะเริ่มไหลเข้าสู่สหรัฐฯ ส่วนใหญ่มาจากประเทศที่เอาเปรียบสหรัฐฯ มานานหลายปีและหัวเราะเยาะเรา ”


ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ภาษีทรัมป์ยังคงไม่จบลงง่ายๆ เพียงแค่การขึ้นภาษีกับคู่ค้า เพราะยังมีสินค้าอีกมากมาย ที่อยู่ในใจทรัมป์ และกำลังจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรามหาศาล โดยเฉพาะสินค้าที่มีความสำคัญสำหรับภาคอุตสาหกรรมและเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศไทย  เช่น เหล็ก ทองแดง ชิปเซมิคอนดักเตอร์ ยา 


ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เขากำลังจะประกาศเก็บภาษีนำเข้ารายเซ็กเตอร์กับสินค้ากลุ่ม  "เซมิคอนดักเตอร์"  โดยอาจจะกำหนดอัตราภาษีสูงถึง 200% หรือ 300%" ผู้นำสหรัฐระบุ ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่าสหรัฐกำลังเตรียมขยายระบบภาษีนำเข้าของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ


โดยก่อนหน้ามีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 50% ไปแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน  และทรัมป์ก็เคยแถลงและขู่หลายครั้งแล้วว่า จะมีการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่ม ยาและเวชภัณฑ์ด้วย  ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้อยู่ภายใต้การสอบสวนของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐมาตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่ทรัมป์จะสามารถกำหนดภาษีนำเข้าได้ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ


แต่ทั้งมวลทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ ภายใต้ประโยชน์ของชาติ เช่น กรณีของ "แอปเปิ้ล อิงค์" ที่อาจจะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า จากการวางแผนและให้คำมั่นสัญญาว่าจะลงทุนผลิตภายในประเทศมูลค่า 6 แสนล้านดอลลาร์ 


นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งมีการผ่านร่างกฎหมายยิ่งใหญ่และงดงาม One Big Beautiful Bill ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากนโยบายของทรัมป์เป็นหลัก หนึ่งในนั้นคือ มาตรการหั่นงบสวัสดิการรัฐ จึงมีการคาดหวังว่าจะมาเป็นอีกทางที่จะช่วยลดเรื่องภาระด้านงบประมาณของรัฐบาลทรัมป์ได้ 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง