รีเซต

เปิดหุ้นกลุ่มเสี่ยงศก.ถดถอย TISCOชี้เฮลธ์แคร์-เทคกำไรโต

เปิดหุ้นกลุ่มเสี่ยงศก.ถดถอย TISCOชี้เฮลธ์แคร์-เทคกำไรโต
ทันหุ้น
29 มิถุนายน 2565 ( 16:14 )
77
เปิดหุ้นกลุ่มเสี่ยงศก.ถดถอย TISCOชี้เฮลธ์แคร์-เทคกำไรโต

#TISCO #ทันหุ้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ชี้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย จะกดดันหุ้นทั่วโลกในช่วงที่เหลือของปี แนะหลีกเลี่ยงหุ้นอ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจอย่างกลุ่มพลังงานและการเงิน โยกเงินลงทุนหุ้นโตสวนเศรษฐกิจถดถอย ได้แก่ หุ้นเทคโนโลยีและเฮลธ์แคร์ หลังพบทำสถิติกำไรโตต่อเนื่อง 10% ต่อปี

 

นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ หรือ TISCO ESU เปิดเผยว่า สำหรับมุมมองการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังของปี มองว่าปัจจัยเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจที่ชะลอลงและเส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Yield Curve) ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวกลับมาในระดับที่ใกล้ตัดกัน (Inverted) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่เหลือของปี

 

แนะเลี่ยงหุ้นกลุ่มเสี่ยง

โดยเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยตรง ซึ่งจากสถิติพบว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำไรรวมของดัชนี S&P 500 ลดลงเฉลี่ยถึง 25%จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มที่ผลประกอบการผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มพลังงาน และกลุ่มการเงิน

 

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ประเมินว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกได้ซึมซับผลกระทบจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดไปมากแล้ว เห็นได้จากดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ภาวะตลาดหมีหลังดัชนีลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดเมื่อต้นปี ในขณะที่ดัชนี NASDAQ ซึ่งมีสัดส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสูง ก็ได้ปรับตัวลดลงถึง 30%แล้ว

 

รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) สหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และจะเริ่มกลับมาลดลงในช่วงที่เหลือของปี เพราะคาดว่าอัตราเงินเฟ้อน่าจะเริ่มชะลอตัวลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เริ่มปรับตัวลดลง และตัวเลขเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอลง ซึ่งทำให้ตลาดเริ่มปรับลดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ลง โดยคาดว่า Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 3.5%ในช่วงปลายปีนี้ จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปถึง 4% ในช่วงกลางปีหน้า

 

ทั้งนี้ แนวโน้มของดอกเบี้ย (Dot Plot) ชี้ว่า Fed จะปรับดอกเบี้ยขึ้นจนสู่ระดับ 3.25 - 3.50% ณ สิ้นปีนี้ หรือปรับขึ้นอีก 1.75% (175 bps) ซึ่งมีมุมมองที่เข้มงวดกว่าเดิมจากเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นไปแตะระดับ 1.75 - 2.00% เท่านั้น สำหรับปี 2566 คาดว่า Fed จะปรับขึ้นแตะระดับ 3.5 - 3.75% และลดลงอยู่ที่ระดับ 3.25 - 3.5% ในปี 2567 โดยคาดการณ์ดอกเบี้ยระยะยาว (Longer-run Rate) ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 2.5% จากเดิม 2.4% ด้านประมาณการเงินเฟ้อ Fed ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อปีนี้ขึ้นสอดรับกับมุมมองดอกเบี้ยที่เข้มงวด (Hawkish) ขึ้นอย่างมาก โดยปรับเงินเฟ้อ PCE ปีนี้ขึ้นเป็น 5.2% จากเดิมเดือน มี.ค. ที่ 4.3%

 

ตลาดปรับฐานโอกาสเข้า

ดังนั้น แนะนำให้นักลงทุนใช้โอกาสที่ตลาดปรับฐานทยอยสะสมหุ้นกลุ่มที่กำไรมีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาวและไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจระยะสั้นมากนัก เช่น หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) ที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว โดยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเฮลธ์แคร์มีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 10.2% ต่อปี และสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ ในอนาคตยังมีโอกาสเติบโตอีกมากตามเมกะเทรนด์สังคมสูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลก

 

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นเติบโตสูง กลุ่ม Tech ที่แม้ก่อนหน้านี้จะโดนเทขายอย่างหนัก เพราะได้รับผลกระทบจาก Bond Yield ขาขึ้นกดดันกระแสเงินสดในอนาคตมีมูลค่าลดลง แต่ในอนาคตแรงกดดันดังกล่าวน่าจะลดลงและทำให้หุ้นเริ่มฟื้นตัวได้จากแนวโน้ม Bond Yield ที่น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่โดยเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กำไรของหุ้นกลุ่ม Tech เติบโตสูงถึง 10% ต่อปี สูงกว่าดัชนี S&P 500 ที่กำไรเติบโตโดยเฉลี่ย 7% ต่อปี

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง