ส่อง 2 หุ้นรับเหมา STEC-CK หลังประกาศงบ Q3 แนะกลยุทธ์ลงทุน
ทันหุ้น-บล.โนมูระ พัฒนสิน ออกบทวิเคราะห์หุ้นรับเหมารายใหญ่ 2 บริษัทได้แก่ STEC และ CK หลังจากที่ประกาศงบไตรมาส 3/64 ออกมาแล้ว โดยคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการ และกลยุทธ์การลงทุน พร้อมประเมินราคาเป้าหมายในแต่ละหลักทรัพย์
ฝ่ายวิจัยโนมูระ พัฒนสิน มีมุมมองบวกเล็กน้อยต่อกำไรปกติไตรมาส 3/64 ของ STEC ที่ 136 ล้านบาท ลดลง 42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาส 2/64 ซึ่งดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 117 ล้านบาท โดยกำไรที่ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทั้งการปิดแคมป์คนงานเดือนเศษที่กระทบต่อรายได้และมาตรการ bubble and seal ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ที่กำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/64 เพราะ GPM ที่ปรับตัวดีขึ้นหลังโครงการรัฐสภาได้จบลงในไตรมาสที่ผ่านมา และหนุนจากรายได้อื่นเพิ่มเติมราว 40 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มธุรกิจก่อสร้างของ STEC จะฟื้นตัวต่อเนื่องจากการเร่งงานก่อสร้าง หลังโควิด-19 คลี่คลาย โครงการใหม่ของภาครัฐที่จะเร่งตัวขึ้นมากในครึ่งหลังปี 2564 จนถึงปี 2566 กว่า 2.2 เท่า และแรงกดดันเฉพาะตัวจากโครงการที่มี GPM ต่ำกว่าปกติจะทยอยหมดไป
กลยุทธ์ ด้วยราคาหุ้น STEC ปัจจุบันซื้อขาย PBV เพียง 1.44 เท่าตำกว่าค่าเฉลี่ย และค่าเฉลี่ยของกลุ่ม จึงคงคำแนะนำซื้อให้ราคาเป้าหมายที่ 19.60 บาทต่อหุ้น มองเป็นโอกาสสะสม เพื่อรองรับ backlog ที่จะพลิกตัวเหนือระดับ 1 แสนล้านบาท ในปี 2565 และกำไรสุทธิที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดเฉลี่ย 84% ในปี 2565-2566
ส่วนหุ้น CK มีมุมมองเป็นบวกต่อกำไรปกติงวดไตรมาส 3/64 ที่ประกาศที่ 275 ล้านบาท ลดลง 45% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 57% จากไตรมาส 2/64 ซึ่งกำไรปกติดังกล่าวดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาด ซึ่งกำไรที่ลดลง เนื่องจากการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทบส่วนแบ่งกำไรของ BEM เพราะผู้คนเดนิทางน้อยลง กระทบทั้งปริมาณการใช้ทางด่วน และรถไฟฟ้า อย่างไรก็ตามกำไรปกติดีกว่าไตรมาส 2/64 เพราะได้ปัจจัยหนุนจากส่วนแบ่งกำไรของ CKP ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำที่มาก ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบจากโควิด-19
แนวโน้มมองธุรกิจก่อสร้างของ CK จะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4/64 จากการเร่งงานก่อสร้างหลังโควิด-19 คลี่คลาย และโครงการรัฐต่างๆ ที่จะทยอยเข้ามาต่อเนื่องถึงปี 2566 มูลค่ากว่า 4.8 แสนล้านบาท
กลยุทธ์ แนะนำซื้อหุ้น CK ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 26.50 บาทต่อหุ้น มองว่าเหมาสะสำหรับซื้อสะสม เพื่อรองรับงานภาครัฐที่เร่งตัวขึ้นในอนาคต และได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของกำไรปกติของ BEM ที่โตเฉลี่ย 125% ในช่วงปี 2565-2566 หลังผ่านวิกฤติที่คาดเป็นจุดต่ำสุดไปแล้ว