จับทิศทางหุ้นไทย ! หลังยุบสภา วางกลยุทธ์รับความผันผวน?

ไทยเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ประกาศ ยุบสภาฯ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเปิดทางสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่แบบเร่งด่วน ซึ่งการเลือกตั้งใหม่คาดว่าจัดขึ้นภายใน 45-60 วัน นับจากวันที่ยุบสภาฯ
ทันใดนั้นตลาดหุ้นไทยเปิดการซื้อขายในวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา เด้งรับข่าวทันที โดยดัชนีแตะที่ระดับ 1,257.83 จุด ปรับขึ้น 4.29 จุด หรือ 0.34% มูลค่าการซื้อขาย 6,339.24 ล้านบาท จากนั้นปิดตลาดที่ 1,254.10 จุด เพิ่มขึ้น 0.56 จุด หรือ 0.04% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 36,693.42 ล้านบาท
ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์จะเป็นอย่างไร และจากสถิติในอดีตหลังจากที่รัฐบาลประกาศยุบสภาฯ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่นั้น ดัชนีหุ้นไทยมีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ
เริ่มจาก “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์” CFTe,CISA ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย และนักกลยุทธ์การลงทุน บล. กรุงศรี ฉายภาพว่า การยุบสภามาก่อนคาดเล็กน้อย แต่ ไม่เหนือความคาดหมายของตลาด เพราะรัฐบาลชุดนี้ถูกมองเป็น “รัฐบาลรอยต่อ” อยู่แล้ว เปิดทางให้ตลาดเริ่มให้น้ำหนักบวกกับภาพการ Refresh ทางการเมือง จากสถิติในอดีต หลังรัฐบาลประกาศยุบสภาฯ 5 ครั้งที่ผ่านมา ใปี 2543 ปี 2549 ปี 2554 ปี 2556 และปี 2566 ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.45%
KSS ประเมิน SET มีโอกาส Election Rally +3% ถึง +5% ในระยะ 5–8 เดือนข้างหน้า จาก
• 📌 รัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพ > รัฐบาลรอยต่อ
• 📌 กติกาเลือกตั้งเอื้อให้พรรคชนะตั้งรัฐบาลได้ง่ายขึ้น
• 📌 ความเชื่อมั่น Fund Flows (ไทย + ต่างชาติ) เพิ่มขึ้น
• 📌 หุ้นใหญ่กลับมาเป็นแกนขับเคลื่อน SET
• 📌 กิจกรรมก่อนเลือกตั้งกระจายรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจริง
โดยตั้งเป้าหมายในปี 2569 คาดว่า SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,450-1,551 จุด อิง EPS 2026F = 94 บาท (โต 8%)
ส่วน Target PER = 16.5 เท่า (-1 SD จากค่าเฉลี่ยยาวที่ 17.3x)
ด้านกลยุทธ์ลงทุน : หุ้นได้ประโยชน์จากยุบสภาฯ สู่การเลือกตั้ง
1.Domestic Play — หุ้นมักเด่นช่วง Election Rally
• ค้าปลีก: CPALL (Deep Value)
• ธนาคาร: KBANK, KTB
2.Fund Flow เข้าหุ้นใหญ่ (SET50)
• สื่อสาร : ADVANC
• พลังงาน : PTT, GULF, PTTGC (Deep Value), TOP
• โรงพยาบาล: BDMS
• โรงแรม: CENTEL
3. ธีมดอกเบี้ยขาลง
• กลุ่มเช่าซื้อ: MTC, SAWAD
• โรงไฟฟ้า: GULF, BGRIM (Deep Value)
• High Dividend: SC, AP
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า คาดว่าฟื้นตัว แรงส่งนายกฯ ประกาศยุบสภา นำมาสู่ภาพแรงหนุนตลาด ระยะถัดไป 1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน( กนง.) คาดลดดอกเบี้ย 0.25% ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ ซึ่งลดดอกเบี้ยทุก 0.25% มีผลต่อ SET ประมาณ 55-60 จุด 2. Election Rally กรอบ 5-8 เดือนข้างหน้า การเมือง Refresh เดินหน้าสู่การได้รัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพดีขึ้นจากปัจจุบันที่เป็นรัฐบาลรอยต่อ ประเมินแนวต้านแรกที่ 1,267 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,278 จุด แนวรับแรกที่ 1,243 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,231 จุด
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทย
• 15 ธ.ค. ตัวเลขเศรษฐกิจจีน เดือนพ.ย. ทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรม คาด +5.0%y-y จากเดิมอยู่ที่ 4.9%, ดัชนีค้าปลีก คาด +2.9%y-y การลงทุนสินค้าคงทน คาด -2.3%
• 16 ธ.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตร พ.ย. ของสหรัฐฯ คาดเพิ่ม 5 หมื่นตำแหน่ง , อัตราการว่างงาน พ.ย. คาดเพิ่ม 4.4% ดัชนี PMI ภาคผลิตและบริการ พ.ย.
• 16 ธ.ค. รายงานนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย คาดมีโมเมนตัมบวก w-w เร่ง ต่อเนื่อง คาดแรงส่งนักท่องเที่ยวจีนสลับญี่ปุ่นมาไทยชัดขึ้นต่อเนื่องถึงต้นปี 26F
• 17 ธ.ค. ประชุม กนง. เราประเมินมีโอกาสเห็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย -25 bps ลงเหลือ 1.25% จาก Downside เศรษฐกิจที่เข้ามาช่วงหลัง
• 18 ธ.ค. เงินเฟ้อผู้บริโภค CPI เดือน พ.ย. ของสหรัฐฯ คาด +3.1%y-y เงินเฟ้อพื้นฐาน +3%y-y
• 18 ธ.ค. ติดตามการประชุม ECB คาดคงดอกเบี้ยนโยบาย 2.0%
• 19 ธ.ค. ติดตามการประชุม BoJ คาดปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นสูง 0.75%
• ติดตามทิศทางการเมืองภายใน หลังนายกฯ ประกาศยุบสภา โดยเฉพาะแนวนโยบายของพรรคการเมืองหลักที่ใช้หาเสียง และกระแสคะแนนนิยมพรรคต่างๆ
หุ้นเด่นสัปดาห์หน้า : แนะนำ
• หุ้น BDMS (TP26F-29): Deep Value กำลังดึงสถานะกลับ Outlook 4Q25 แข็งแรงกว่าปกติ
• หุ้น CPALL (TP26F-80): Deep Value ที่มีแรงส่ง Election Rally
• หุ้น PTTGC(TP26F-28): Deep Value เป้าหมายเม็ดเงินช่วง Election Rally
ด้าน “กรรณ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) มองว่า จากสถิติตลาดหุ้นไทยหลังการประกาศยุบสภา 5 ครั้งหลังสุด ตั้งแต่ปี 2543 ตลาดหุ้นไทยมักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกแค่ระยะสั้นในวันแรก เฉลี่ย +0.9% เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น หลังจากผ่านไป 1 สัปดาห์ตลาดจะปรับตัวลดลงเฉลี่ย -0.4% และในช่วง 1 เดือนตลาดปรับตัวลงเฉลี่ย 4.6% ซึ่งจากนี้ไปในจะต้องติดตามพรรคการเมืองแต่ละพรรคหาเสียงเพื่อสู่การเลือกตั้ง ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 ก.พ. 69
โดยประเมินดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้น่าจะจบที่ 1,230-1,285 จุด ส่วนในปีหน้าคาดว่าดัชนีอยู่ที่ 1,400 จุด แรงหนุนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งต้องรอดูการฟอร์มทีมรัฐบาลว่าพรรคไหนจะได้รับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมากสุด ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน แต่ถ้าพรรคภูมิใจไทยชนะเลือกตั้งและได้คะแนนเสียงท่วมท้น มีจำนวน ส.ส. มากเป็นอันดับ 1 เพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้เลย ก็จะมีผลด้านจิตวิทยาเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย แต่ถ้าจำนวน สส. ไม่เพียงพอที่จะสามารถตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียวหรือไม่ก็สามารถดึงพรรคอื่นเข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้
ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นพร้อมวิ่งรับผลบวกต่อการเลือกตั้ง แนะนำ CPALL , GULF, PTT ,BCH
ฟาก "บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)" ประเมินว่า หลังนายกฯประกาศยุบสภาฯและได้รับการโปรดเกล้าเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นเราคาดว่าวันเลือกตั้งจะเป็นวันอาทิตย์ที่ 1 หรือ 8 ก.พ. 69 ซึ่งมองเป็นกลางเชิงลบต่อประเด็นดังกล่าว โดยสถิติการยุบสภาฯในช่วง33 ปีที่ผ่านมามี 8 ครั้งพบกว่า SET Index ตอบรับเชิงบวกในวันถัดไปเฉลี่ย +1.2% แล้วหลังจากนั้นจะเคลื่อนไหวทรงตัวแบบ Sideway to sideway down เพื่อรอดูผลการเลือกตั้ง
แม้ว่าการยุบสภาฯที่เกิดขึ้นเร็วจะหนุนให้เกิด Election Rally ได้เร็วขึ้นซึ่งตามสถิติ SET Index จะปรับตัวขึ้นในช่วง2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้งเฉลี่ย+1.7%และช่วง 1 เดือนหลังเลือกตั้งเฉลี่ย+5% แต่เราคาดว่ารอบนี้จะไม่มีแรงเก็งกำไรก่อนเลือกตั้งเพราะยังไม่แน่ว่าพรรคใดจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและระหว่างที่รอผลการเลือกตั้งรัฐบาล รักษาการไม่สามารถอนุมัติโครงการที่ผูกผันไปถึงรัฐบาลชุดใหม่ได้(เกิดสุญญากาศทางการเมือง)
อีกทั้งยังมีประเด็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาและการเจรจาการค้าไทย-สหรัฐฯที่ยังอยู่ในช่วงของการแก้ไขด้วย ซึ่งปัจจัยเรื่องการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้งถือเป็นจุดอ่อนของเศรษฐกิจและการเมืองไทยในปัจจุบัน (ช่วง2 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนนายกฯถึง 3 รอบคือนายเศรษฐา ทวีสิน รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2566 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 16 ส.ค.2567 และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รับตำแหน่งเมื่อ 7 ก.ย.2568
อย่างไรก็ตามคาด Downside ของSET Index ไม่เปิดกว้างกรอบแนวรับคือ1,200-1,220 จุด ที่เป็นบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย200 วันและในเชิง Valuation ที่ระดับดังกล่าวจะให้ Dividend Yield ราว 4.4%-4.6% แนะนำพักเงินในกลุ่ม REITs ,Anti-Commodity จากราคาน้ำมันที่พักตัวลง,และหุ้นปันผลเด่น เช่น ธนาคารพาณิชย์และสื่อสาร เป็นต้น
ฝั่ง "บล.เอเซียพลัส" ประเมินว่า การยุบสภาฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทำให้เกิดความไม่แน่นอนขึ้นในหลายประเด็น อาทิ การเดินหน้าโครงการคนละ ครึ่งพลัส เฟส 2, โครงการ TISA, นโยบายรถไฟฟ้า 40 บาท ตลอดทั้งวัน, MEGA PROJECT ใหม่ๆ รวมถึงการ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ เป็นต้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/ 68 มีความเสี่ยงมากขึ้นจาก นโยบายชะงักงันก่อนเลือกตั้งใหม่อาจกดดันความเชื่อมั่น และกรณีที่จีดีพีไทยโตต่ำกว่า 0.6%YOY มีโอกาสเห็นภาพ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคได้ (จีดีพีติดลบต่อกัน 2 ไตรมาส)
ขณะที่สถิติการยุบสภาในอดีต ต่อค่าเงินบาทผันผวน ในช่วง 1 เดือนก่อนยุบสภาฯ เงินบาทอ่อนค่า 0.8% และ 1 เดือนหลังการยุบสภาอ่อนค่าเล็กน้อย 0.6% ตามลำดับ ส่วนสถิติหลังการยุบสภา 1 เดือน ต่อ FLOW ต่างชาติเงินทุนไหลออก (NET SELL) เกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังการยุบสภา ไหลออก เกิดขึ้น 5 ครั้ง จาก 6 ครั้ง มีค่าเฉลี่ยไหลออกสุทธิ -10,859 ล้านบาท ส่วนภาพการเคลื่อนไหวของ SET ในอดีตตั้งแต่ 2539 ถึง 2566 ผลตอบแทนของ SET หลังยุบสภา 1 เดือน มีค่าเป็นลบแทบทุกครั้ง ยกเว้นครั้งเดียวในปี 2556 ซึ่งค่าเฉลี่ย : ผลตอบแทน SET หลังยุบสภา 1 เดือน เฉลี่ยติดลบ -6.7% โดยสรุปแล้ว สถิติในอดีตชี้ให้เห็นว่า การยุบสภาจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดหุ้นในระยะสั้น และทำให้เงินทุน ต่างชาติไหลออก
กลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้น SCB (ปันผลสูงราว 8%, เผชิญแรงขายของกอง LTF น้อย) หุ้น ERW (PE ถูกเมื่อเทียบกับตัวเองในอดีต ,EARNING CYCLE ดีต่อเนื่อง) หุ้น TOP (เกิดความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในหลาย พื้นที่, อากาศที่หนาวขึ้น หนุนการใช้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น)
ปิดท้าย "ณัฐชาต เมฆมาสิน" CFA, FRM ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ เล่าว่า จากผลการศึกษาในอดีตการยุบสภาที่ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา จะทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับซึมลงเป็น ระยะเวลา 1 เดือน โดยจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นจะมีค่าเฉลี่ยติดลบอยู่ที่ประมาณ 4%
แต่ในกรณีในปัจจุบันนี้ ด้วยระดับ Valuation ของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ใน โซนที่ต่ำมากแล้ว เราจึงให้น้ำหนักตัวเลข 4% ดังกล่าวเป็นกรณีเลวร้ายสุด (Worst case) ซึ่งสุดท้ายอาจจะเห็นดัชนีระดับนี้หรือไม่เห็นก็ได้ แปลว่า ระดับ SET Index ในกรณีแย่สุดของเรายังคงอยู่ที่บริเวณ 1,200 จุด (-4% จากปัจจุบัน) ตามที่เคยประเมินไว้เดิม
ทั้งนี้จะเห็นว่า ความผิดหวังในระยะสั้นย่อมเกิดขึ้นแน่ โดยเฉพาะความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นการบริโภค ทั้งโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 และโครงการ Easy E-receipt ที่อาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากแล้ว หลังไม่ได้ถูกบรรจุเข้าสู่การ พิจารณาของครม.ในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น มองว่ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการ บริโภคเช่นกลุ่มค้าปลีกมีโอกาสที่จะได้รับ Sentiment เชิงลบใน ระยะสั้นได้
ดังนั้นแนะนำนักลงทุนโยกเงินส่วนหนึ่งเข้าสู่หุ้นปลอดภัยไว้ก่อน ในช่วงที่อาจเกิดภาพสุญญากาศทางด้านนโยบาย ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ และกลุ่มสาธารณูปโภค อาทิ BH, BDMS, GULF, GPSC, BGRIM เป็นต้น ทั้งนี้ หากราคาหุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับลงมา แรงในช่วงสั้น เช่น 5% ขึ้นไป เรามองว่าจะเริ่มเป็นโอกาสในการทยอยเพิ่ม น้ำหนักอีกครั้ง เนื่องจากหากอ้างอิงสถิติในอดีตจะพบว่า กลุ่มค้าปลีกจะเป็น Sector ที่ทยอยปรับตัว Sideways up เด่นชัดที่สุด ในช่วง 3 เดือน ก่อนหน้าการเลือกตั้งไปจนถึง 2 เดือนหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้น
แม้ว่าภาวะสุญญากาศทางการเมืองในช่วง 1-2 เดือนนี้อาจทำให้ ความคาดหวังทางด้านนโยบายลดลงไปบ้าง แต่ประเมินว่าด้วยการเข้าสู่ ช่วง High season ของการท่องเที่ยวและการบริโภค เมื่อมาประกอบกับ Valuation ที่อยู่ต่ำเป็นทุนเดิม ยังถือเป็น Sector หนึ่งที่น่าสนใจถ้าราคาย่อตัวลงมา
ขณะเดียวกัน มองว่า ประเด็นการยุบสภาที่เกิดขึ้นนี้อาจทำให้เศรษฐกิจไทยตกหล่ม ช่วงสั้น แต่จะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสที่ธปท.จะมีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงสู่ระดับ 1.25% ในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.นี้ เพื่อคอย ประคับประคองสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ ในช่วงที่การบริหารจัดการ บ้านเมืองกระทำได้เพียงผ่านรัฐบาลรักษาการณ์
ซึ่งไม่ได้มีอำนาจอย่าง เต็มที่ในการใช้งบประมาณต่างๆมากนัก หากเกิดขึ้นจริงจะเป็นตัวช่วย ทางด้าน Sentiment ที่รออยู่สำหรับปัจจัยในสัปดาห์หน้า กลุ่ม Rate-sensitive และกลุ่ม Bond-like เช่น ไฟแนนซ์ ที่อยู่อาศัย โรงไฟฟ้า กอง REIT/IFF ถือเป็นอีกกลุ่มที่ น่าสนใจทยอยเข้าสะสม หากราคาหุ้นอ่อนตัวลงม ในช่วงสั้น
ส่วนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ในช่วงต้น เดือนก.พ.ปีหน้า ตาม Timeline นี้ จะช่วยลดทอน ความกังวลทั้งเรื่องการเจรจาการค้ากับทางสหรัฐฯ การจัดการปัญหาพื้นที่ ชายแดน หรือช่วงเวลาสุญญากาศของนโยบายเศรษฐกิจขนานใหญ่ ได้ไม่ มากก็น้อย
สำหรับการคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายต่างๆที่จะเกิดขึ้นนั้น หาก อ้างอิงจากสถิติของเราในอดีตนับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา จะพบว่าปรากฏการณ์ Election rally ในตลาดหุ้นไทยมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ 2 สัปดาห์ก่อนหน้าการ เลือกตั้ง ไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลา ดังกล่าวอยู่ 2.4% แต่หากย้อนไปไกลถึงปี 2535จะพบว่าอัตราผลตอบแทนคาดหวัง จะสูงขึ้นไปอีกถึง 4.7% ทั้งนี้ หากนํามาเทียบเคียงกับปฏิทินในรอบนี้( คาดว่า กระบวนการ Rally ต่อปัจจัยดังกล่าวจะเริ่มต้นได้ประมาณช่วงกลางเดือนม.ค.เป็นต้นไป
ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าประเมินกรอบแนวรับที่ 1,230 จุด แนวต้านอยู่ที่ 1,280 จุด ปัจจัยที่ต้องติดตามตัวเลข การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ตลาดแรงงานของสหรัฐอเมริกา การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) และธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) รวมถึงการประชุมกนง.ของไทย คาดลดดอกเบี้ยลง 0.25% หลังรัฐบาลยุบสภาฯ ทำให้เกิดสุญญากาศด้านเศรษฐกิจ และรัฐบาลรักษาการไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ดังนั้นการใช้นโยบายการเงินก็จะช่วยปะคองเศรษฐกิจ แต่ถ้าไม่ลดครั้งนี้อาจจะลดไตรมาส 1/69 ลง 0.25% และอีกรอบอาจจะเป็นช่วงไตรมาส 3/69 หรือไตรมาส 4/69 ส่วนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในปีหน้าคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง จาก dot plot ส่งสัญญาลดดอกเบี้ยลงเพียง 1 ครั้ง
ด้านกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้น
- กลุ่มได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง กลุ่มไฟแนนซ์ SAWAD ราคาเป้าหมาย 29 บาท
- กลุ่มโรงไฟฟ้า หุ้น BGRIM Consensus คาดราคาเป้าหมาย 16.90 บาท
- กลุ่มโรงพยาบาล เช่น BDMS ราคาเป้าหมาย 29.20 บาท
แม้ว่า การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองเพื่อไปสู่การเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 45-60 วัน ทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ดังนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่ระมัดระวังการตัดสินใจลงทุนและ ติดตามข่าวสารการเมืองและเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับพอร์ตตามสถานการณ์จนกว่าจะเห็นภาพชัดเจนการจัดตั้งรัฐบาล ....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
