เริ่มแล้ว กำไรจาก 'คริปโทฯ-โทเคน' ต้องยื่นภาษีปีนี้
ปีภาษี 2564 เป็นปีแรกที่กระทรวงการคลังกำหนดให้มีผู้รายได้จากการเทรดเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลต้องยื่นแสดงเงินได้
ซึ่งกรมสรรพากร กำหนดให้ยื่นภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 มีนาคม 2565
โดยในส่วนของรายได้จากการเทรดเหรียญคริปโทฯ และโทเคนดิจิทัล จะไปอยู่ในการลงทุนตามมาตรา 40 (4) โดยในเอกสารการยื่นแบบแสดงรายได้ใช้คำว่า “ดอกเบี้ย เงินปันผลจากบริษัทต่างประเทศ ประโยชน์ใด ๆ จากคริปโทเคอร์เรนซี หรือโทเคนดิจิทัล เงินเพิ่มทุน เงินลดทุน”
ก่อนหน้านี้ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า การเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโทเคอร์เรนซีนั้น พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 กำหนดว่า สินทรัพย์ดิจิทัล หากมีกำไรหรือมีผลตอบแทนจากส่วนนี้จะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% ของกำไร และบุคคลที่มีเงินได้จากการซื้อขายคริปโทฯ จะต้องยื่นแบบแสดงการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
“ถ้ามีกำไรจากการเทรดบิตคอยน์ก็เป็นหน้าที่ของผู้เสียภาษีที่จะต้องมายื่นแบบตามมาตรา 40 (4) ซึ่งในการยื่นแบบภาษีเงินได้ในเดือนมีนาคม 2565 สรรพากรจะมีช่องให้ติ๊กสำหรับผู้ที่มีกำไรจากการซื้อขายคริปโทฯ เพื่อให้ผู้เสียภาษีสำแดงเงินได้ ซึ่งหากใครมีรายได้แล้วหลบเลี่ยงไม่ยอมยื่น เรามีระบบ data analytics ตรวจสอบได้” นายเอกนิติ กล่าว
อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีผู้สนใจลงทุนซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีมาก แม้จะตามเก็บภาษียาก แต่ก็เป็นเรื่องที่สรรพากรต้องตามให้ทัน ซึ่งกรมสรรพากรมีอำนาจในการออกหมายเรียกพยานได้ เช่น หากสรรพากรมีข้อมูลที่เชื่อว่าบุคคลดังกล่าวมีกำไรจากการซื้อขายคริปโทฯก็มีอำนาจให้ บริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลมาให้ข้อมูลได้
นอกจากนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างดำเนินการให้ตลาดเทรดคริปโทฯ ทำหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของกำไรจากการขาย
“หลาย ๆ ประเทศก็เริ่มให้แพลตฟอร์มเทรดคริปโทฯ เป็นผู้รายงานข้อมูลการซื้อขาย และเป็นผู้เก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย ส่วนของไทยก็กำลังให้ทำเป็นการรายงานทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้ว อยู่ขั้นตอนกฤษฎีกา ตรงนี้จะออกมาเป็นกฎหมายพื้นฐานก่อน จากนั้นกรมก็จะสามารถมาออกกฎหมายกำหนดต่อได้ว่า ให้รายงานการซื้อขาย” อธิบดีกรมสรรพากร กล่าว
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ