ปรากฏการณ์ “ทองคำ” ทะลุ 4,000 ดอลล์

ราคาทองคำตลาดโลกเพิ่งทะลุระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ หลังจากปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาทองคำล่าสุดปรับขึ้นมากสุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 หลังจากขยับขึ้นมาแล้วราว 1 ใน 3 นับตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้ เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศมาตรการกำแพงภาษีกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบการค้าและทำให้เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะไม่แน่นอน
ที่จริงแล้ว นักลงทุนให้ความสนใจกับทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมาอย่างยาวนาน โดยทองคำมักเป็นทางเลือกในช่วงที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน เนื่องจากทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่สามารถจับต้องได้ รวมทั้งถือครองและเก็บสะสมไว้ได้โดยที่มูลค่าไม่ลดลงหรืออาจจะเพิ่มขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน แต่การพุ่งขึ้นของราคาในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของทองคำ ซึ่งกลายมาเป็นสินทรัพย์ที่ถือครองได้สำหรับทุกโอกาส
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำเพิ่มขึ้นเท่าตัว และนับตั้งแต่ต้นปีนี้ ราคาทองคำทะยานขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 จากที่เคลื่อนไหวแถว 2,600 ดอลลาร์ในเดือนมกราคม จนถึงระดับกว่า 4,000 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคม ทั้งนี้ ราคาทองคำที่ขยับขึ้นส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากการเข้ารับตำแหน่งสมัย 2 ของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะในเดือนเมษายนที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นรวดเร็ว ซึ่งเป็นจังหวะที่ผู้นำสหรัฐฯ เปิดฉากสงครามการค้ากับประเทศต่าง ๆ ไม่ใช่แค่จีน ขณะที่ราคาทะยานขึ้นอีกครั้งในเดือนสิงหาคม หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์โจมตีการทำงานของ “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
อย่างไรก็ตาม แม้สหรัฐฯ จะมีส่วนอย่างมากต่อทิศทางราคาทองคำ แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ผลักให้ราคาทองคำขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการที่ญี่ปุ่นกำลังจะมีว่าที่นายกรัฐมนตรีใหม่ และวิกฤตการเมืองที่รุนแรงขึ้นในฝรั่งเศสหลังการลาออกของนายกรัฐมนตรีเซบาสเตียน เลอกอร์นู
น่าสังเกตว่า ราคาทองคำที่พุ่งทะยานเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง ทั้งดัชนี S&P 500 และแนสแด็ก (Nasdaq) ต่างปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งที่โดยทั่วไปแล้วราคาหุ้นและทองคำมักไม่ค่อยปรับขึ้นหรือลงพร้อม ๆ กัน นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ทองคำได้กลายเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากกระแสฟองสบู่หุ้นบริษัทเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ซึ่งแบกรับความคาดหวังของตลาดหุ้นโดยรวมเอาไว้ สะท้อนจากมูลค่าหุ้นของบริษัทกลุ่มนี้ที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ อาทิ อินวิเดีย (Nvidia) ผู้ผลิตชิป AI รายใหญ่ แม้ว่าจะมีเสียงเตือนเกี่ยวกับการที่บริษัทเหล่านี้ทุ่มเม็ดเงินลงทุนมหาศาลกับผลกำไรในอนาคตมากกว่าในปัจจุบัน ผลการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) พบว่า ราวร้อยละ 95 ของภาคธุรกิจที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในการดำเนินงานยังไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน
ผลตอบแทนของทองคำรอบล่าสุดทำสถิติแซงหน้าช่วงเวลาที่เผชิญความผันผวนในอดีต ทั้งหลังเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 11 กันยายน วิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2551 หรือแม้แต่วิกฤตโควิด สำหรับปัจจัยหลัก ๆ ที่ผลักให้ราคาทองคำทะยานขึ้นมาจากการที่บรรดานักลงทุนต้องการป้องกันความเสี่ยงจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการค้าและภูมิรัฐศาสตร์โลก นอกจากนี้ ยังได้แรงหนุนจากความต้องการเพิ่มขึ้นในกองทุน ETF ที่อ้างอิงทองคำ ข้อมูลจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่า มีการลงทุนใน ETF ที่อ้างอิงทองคำเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 6.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปีนี้
ประกอบกับการเข้าซื้อทองคำของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ การอ่อนค่าของดอลลาร์ การชัตดาวน์หรือการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ทั้งนี้ ราคาทองคำเคยพุ่งขึ้นเกือบร้อยละ 4 ในช่วงที่ประธานาธิบดีทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก และเกิดภาวะชัตดาวน์นาน 35 วัน ขณะเดียวกันก็มาจากปัจจัยที่ตลาดคาดการณ์ว่า “เฟด” จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมปลายเดือนนี้
ตลาดคาดการณ์ว่า “เฟด” น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ในการประชุมวันที่ 28-29 ตุลาคมนี้ และมีแนวโน้มจะปรับลดอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมประจำเดือนธันวาคม ซึ่งจะมีส่วนทำให้ทองคำมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงจะส่งผลให้ต้นทุนการถือครองทองคำลดลง แต่ขณะนี้หน่วยงานรัฐบาลกลางยังไม่ได้เผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ ตัวเลขการจ้างงาน เนื่องจากการชัตดาวน์ ซึ่งกระทบต่อการพิจารณาสถานการณ์เศรษฐกิจของ “เฟด”
เมื่อเดือนกันยายน “เฟด” ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ 0.25 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายปี 2567 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเคลื่อนไหวอยู่ที่ร้อยล 4.0-4.25 พร้อมกับส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงปลายปีนี้ และการที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์ของนักลงทุนว่า “เฟด” กำลังเข้าสู่วัฏจักรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
แม้ว่าราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้นในขณะนี้ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากความไม่แน่นอนในระยะสั้น รวมถึงการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เพราะหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเข้าซื้อของธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ โดยธนาคารกลางซื้อทองคำรวมกันมากกว่า 1,000 ตันต่อปี นับตั้งแต่ปี 2565 เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 481 ตันต่อปี ในระหว่างปี 2553-2564 ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ในการถือครองสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐมากเกินไป
ทั้งนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับปีที่ย่ำแย่สุดในรอบหลายทศวรรษ ข้อมูลจาก “เจพี มอร์แกน” ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าไปแล้วร้อยละ 11 ซึ่งนับเป็นการอ่อนค่ามากสุดในรอบกว่า 50 ปี และเป็นการยุติวัฏจักรแข็งค่าที่ดำเนินมา 15 ปี และการอ่อนค่าอย่างมากของดอลลาร์สหรัฐทำให้นักลงทุนตั้งคำถามถึงสถานะของเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยระดับโลกที่ถือครองมายาวนาน
รายงานของสภาทองคำโลก ระบุว่า ความต้องการทองคำทั่วโลกในไตรมาส 2 ปีนี้ ในแง่ปริมาณอยู่ที่ 1,249 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเมื่อเทียบในแง่มูลค่า อยู่ที่ 1.32 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 โดยมีแรงหนุนจากกระแสการลงทุนที่แข็งแกร่ง ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และแรงเหวี่ยงด้านราคา ขณะที่ตัวเลขความต้องการทองคำในไตรมาส 3 มีกำหนดจะเผยแพร่ในปลายเดือนนี้
ขณะที่ในเดือนสิงหาคม ธนาคารกลางทั่วโลกได้ซื้อทองคำเข้าไว้ในทุนสำรองระหว่างประเทศราว 15 ตัน ตามข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยรายเดือนที่บันทึกไว้ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน สะท้อนถึงการกลับมาซื้ออีกครั้งของธนาคารกลางหลังจากพักไปช่วงสั้น ๆ ในเดือนกรกฎาคม ด้านธนาคารกลางของจีน ระบุว่า เมื่อเดือนกันยายนได้ซื้อทองคำเข้าในทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มอีก นับเป็นการซื้อติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11
มีคำถามว่า หลังจาก “ทองคำ” ทำสถิติสูงสุดที่กว่า 4,000 ดอลลาร์ จากนี้ไปทิศทางของทองคำจะเป็นอย่างไร ในมุมหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า ยังมีช่องสำหรับการทำกำไรจากทองคำ เนื่องจากความท้าทายทางเศรษฐกิจที่สำคัญยังคงดำเนินอยู่ อาทิ ตลาดงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลง อัตราเงินเฟ้อที่ยังสูง และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจทำให้ทองคำยังคงขยับขึ้นไปจนถึงปี 2569
สถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มปรับคาดการณ์ราคาทองคำ อาทิ “โกลด์แมน แซคส์” คาดว่า ราคาทองคำอาจพุ่งแตะ 4,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในเดือนธันวาคม ปี 2569 ส่วน “TD ซิเคียวริตี้ส์” คาดราคาจะขยับแตะ 4,400 ดอลลาร์ ในช่วงครึ่งแรกปี 2569 ด้าน “คอมเมิร์ซแบงก์” ประเมินราคาจะอยู่ที่ 4,200 ดอลลาร์ ภายในสิ้นปี 2569 และ “ดอยซ์แบงก์” คาดการณ์ราคาอยู่ที่ 4,300 ดอลลาร์ ภายในไตรมาส 4 ปี 2569
แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเตือนว่า นักลงทุนไม่ควรเดิมพันทั้งหมดใส่ไว้ในตะกร้า “ทองคำ” ใบเดียว เพราะยังมีทางเลือกอื่นในการป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และแม้ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แต่ก็มีความผันผวนราวร้อยละ 10-15 สอดคล้องกับ “เรย์ ดาลิโอ” ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ “บริดจ์วอเตอร์ แอสโซซิเอตส์” (Bridgewater Associates) ที่แนะนำให้นักลงทุนควรจัดสรรพอร์ตการลงทุนในทองคำประมาณร้อยละ 15 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มีความเหมาะสมในมุมมองของเขา
ด้าน ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ( FETCO ) ระบุในเฟซบุ๊กว่า ช่วงนี้ เกือบทุกตลาดต่างทำ New High เป็นว่าเล่น ทองคำ ทะลุ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์, ดาวโจนส์ ทะลุ 47,000 จุด, แนสแด็กทะลุ 23,000 จุด, นิกเกอิ ทะลุ 48,000 จุด, บิตคอยน์ ทะลุ 126,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญ ตลาดอื่น ๆ ในยุโรป ก็เช่นกัน ซึ่งแรงส่งของราคาสินทรัพย์เหล่านี้มาจาก "สภาพคล่อง" ที่ล้นในโลก โดยถูกอัดฉีดจากธนาคารกลางต่าง ๆ เริ่มต้นในช่วงวิกฤตการเงินโลก ปี 2551 ภายใต้ชื่อการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) ในช่วงวิกฤตสภาพคล่องเหล่านี้ จะช่วยพยุงเศรษฐกิจ แต่ช่วงที่เศรษฐกิจไม่มีวิกฤต เศรษฐกิจพอไปได้ โดยเฉพาะช่วงที่ดอกเบี้ยโลกลดต่ำลง สภาพคล่องเหล่านี้จะกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่จะวิ่งไปไล่ล่าหาผลตอบแทนในสินทรัพย์ต่าง ๆ
ยิ่งต่อไปเฟดลดดอกเบี้ย ต้นทุนในการเก็งกำไรก็จะยิ่งต่ำลง ทำให้การเก็งกำไรในสินทรัพย์ต่าง ๆ คึกคักมากขึ้น ท้ายสุดก็จะจบลงด้วยภาวะฟองสบู่ในที่สุด อาจจะไม่ใช่เดี๋ยวนี้ วันนี้ แต่เมื่อปล่อยให้เดินไปตามทางนี้จะสร้างความเปราะบางสะสมไว้ในระบบ ทำให้อ่อนไหวกับสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ท้ายสุด นำมาซึ่งความจำเป็นที่ธนาคารกลางต้องออกมาบอกว่า "งานเลี้ยงต้องจบได้แล้ว"
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
