ไทยกว่า 2 แสนคน เครียดจากโควิด 5.46% เสี่ยงฆ่าตัวตาย สธ.เร่งฟื้นฟูสภาพจิตใจ
วันนี้ (10 มกราคม 2565) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดการประชุมคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2565 ที่กระทรวงสาธารณสุข โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ สธ.เป็นประธาน
นายอนุทิน กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันที่ได้มีการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งมีการแพร่เชื้อได้เร็วและติดง่ายขึ้น แต่อาการน้อยและไม่รุนแรงนั้น หลังเทศกาลปีใหม่พบสัญญาณการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดที่มีผู้เดินทางกลับภูมิลำเนาจำนวนมาก เช่น ชลบุรี อุดรธานี อุบลราชธานี ภูเก็ต เชียงใหม่ และจังหวัดเมืองรองต่างๆ ซึ่งแม้โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนมีอัตราการเสียชีวิตต่ำ
“แต่เมื่อฐานจำนวนผู้ติดเชื้อมีมากก็อาจจะมีโอกาสให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย กรมสุขภาพจิตและบุคลากรด้านสุขภาพจิตจึงมีบทบาทสำคัญเรื่องการเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ที่มียังมีความลังเลในการเข้ารับการฉีดวัคซีน (Vaccine Hesitancy) การวางแผนและถ่ายทอดแนวทาง การดำเนินงานด้านการสร้างเสริมสุขภาพจิต การป้องกันและควบคุมปัจจัย ที่คุกคามสุขภาพจิต สนับสนุนให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงจากสถานการณ์โควิด-19 เข้าถึงบริการวิกฤตสุขภาพจิต และได้รับการดูแลทางสังคมอย่างครอบคลุม การคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่มีความผิดปกติทางจิต การเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพจิต และการอยู่ร่วมกันในสังคม” นายอนุทิน กล่าวและว่า ถือเป็นการรักษาและเยียวยาสังคมที่มีความสำคัญที่ สธ.โดยกรมสุขภาพจิตจะต้องเร่งดำเนินการและประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เพื่อเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด ซึ่งนับเป็นภารกิจที่มีความยากลำบากเพราะการเจ็บป่วยทางจิตใจนั้น การรักษาและการสังเกตต้องใช้ทักษะ อย่างสูง ซึ่งหากการเข้าถึงการช่วยเหลือไม่ทันท่วงทีก็จะนำมาซึ่งการสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า นอกจากวัคซีนทางร่างกายที่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการฉีดให้ครอบคลุมให้มากที่สุดแล้ว ในส่วนของการส่งเสริมวัคซีนใจเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันทางใจ (Resilience) ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ในภาวะวิกฤตที่ยืดเยื้อยาวนานเช่นนี้รวมทั้งมีการให้ความสำคัญกับการประเมินสุขภาพจิตในระบบติดตามดูแลกลุ่มเสี่ยงด้านสุขภาพจิต www.วัดใจ.com หรือ ระบบ Mental Health Check In ทั้งนี้ ผลการประเมินจะถูกส่งให้เครือข่ายงานสุขภาพจิต เพื่อติดตามให้ความช่วยเหลือต่อไป ณ วันที่ 9 มกราคม 2565 จากจำนวนผู้ตอบแบบประเมิน 2,579,026 ราย พบว่า เครียดสูง 216,098 ราย (8.38%) เสี่ยงซึมเศร้า 254,243 ราย (9.86%) เสี่ยงฆ่าตัวตาย 140,939 ราย (5.46%) มีภาวะหมดไฟ 25,552 ราย (4.16%) ซึ่งทั้งหมดจะต้องได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิต
“นอกจากนี้ การฟื้นฟูสุขภาพจิต ในผู้ป่วยที่มีภาวะลองโควิด (Long COVID-19) ที่หลังจากติดเชื้อแล้ว 3 เดือน ยังคงมีอาการทั้งทางกายและจิตใจได้อยู่กว่าครึ่ง ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องได้รับการดูแล ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวยังเป็นปัจจัยที่สำคัญที่นำมาสู่อัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นในอนาคตอีกด้วย ดังนั้น เป้าหมายการดูแลสุขภาพจิตประชาชน ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ในการประชุมครั้งนี้จึงมีวาระที่สำคัญนอกจากการทำงานเชิงรุกในระดับพื้นที่ในการการสร้างเสริมความเข้มแข็งทางใจของบุคคล ครอบครัว และชุมชนแล้ว ยังมีเรื่องของการลดอัตราการฆ่าตัวตายในพื้นที่จากสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย” พญ.อัมพร กล่าวและว่า นอกจากนั้น ที่ประชุมยังมีมติให้มีการจัดทำหนังสือต่อประธานคณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติลงนามถึงกระทรวงมหาดไทย (มท.) และ สธ. ในการสนับสนุนคณะอนุกรรมการการประสานงานเพื่อการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิตระดับจังหวัด พร้อมทั้งติดตามการทำงานและให้ผู้แทนจาก มท. และ สธ.รายงานในการประชุมครั้งถัดไป