พบในไทยแล้ว 3 ราย! โควิดเจเนอเรชัน 3 โอมิครอน 'BA.2.75.2'
NewsReporter
30 กันยายน 2565 ( 09:55 )
105
จากการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Center for Medical Genomics” ของศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า โควิดเจเนอเรชัน 3 “โอมิครอน BA.2.75.2” พบแล้วในไทยรวม 3 ราย “โอมิครอน BQ.1.1” เหลนของ BA.5 พบทั่วโลกเพิ่มเป็น 228 ราย
เราจะยังสามารถควบคุม(control) จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิต ยังจะสามารถกำจัด (elimination) และในที่สุดกวาดล้าง (eradication) ไวรัสโคโรนา 2019 ให้หมดไปจากประเทศไทยและจากโลกได้หรือไม่?
จากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก “GISAID” พบโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2.75.2 ในประเทศไทยเพิ่มรวมเป็น 3 ราย โดยทั่วโลกพบเพิ่มเป็น 731 ราย โอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2.75.2 มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติมจาก BA.5 บนส่วนหนามถึง 13 ตำแหน่ง โอไมครอน BA.2.75.2 มีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) ประมาณ 71% เมื่อเปรียบเทียบกับสายพันธุ์ BA.5 ที่ระบาดอยู่ทั่วโลกในขณะนี้
จากฐานข้อมูลรหัสพันธุกรรมโควิดโลก “GISAID” ยังไม่พบโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BQ.1.1 ในประเทศไทยแต่ทั่วโลกพบเพิ่มเป็น 228 ราย โอไมครอน BQ.1.1 ทั่วโลกเพิ่มจาก 136 ราย เมื่อ 7 วันก่อน เป็น 228 รายในวันนี้ (30/9/2565) BQ.1.1 เป็นเหลนของโอไมครอน BA.5 ซึ่งมีการกลายพันธุ์ 3 ตำแหน่งสำคัญในลักษณะของ "convergent mutation/evolution" บนส่วนหนามคือ R346T, K444T, และ N460K
การกลายพันธุ์ ตำแหน่ง N460K ของส่วนหนาม ช่วยให้อนุภาคไวรัสเข้าจับกับผิวเซลล์มนุษย์ (ACE2) ได้ดีเพื่อแทรกเข้าภายในเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวน ในขณะที่การกลายพันธุ์ตำแหน่ง R346T และ K444T จะช่วยหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันเป็นเลิศ ส่งผลให้ดื้อต่อแอนติบอดีสำเร็จรูปทุกชนิดที่องค์การอาหารและยาสหรัฐ ให้ใช้ได้ รวมทั้งแอนติบอดีค็อกเทลอย่าง “เอวูเชลด์ (Evusheld” และ “เบบเทโลวิแมบ (Bebtelovimab)”
หมายเหตุ: "convergent mutation" คือการที่สิ่งมีชีวิต จุลชีพ หรือไวรัสต่างสายพันธุ์ เช่น BA.2.75.2 (มีบรรพบุรุษคือ BA.2) และ BQ.1.1 (มีบรรพบุรุษคือ BA.5) มีการกลายพันธุ์มาคล้ายกัน (R346T และ N460K) เพื่อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน หรือดื้อต่อแอนติบอดีสำเร็จรูปชนิดเดียวกัน
คงต้องเฝ้าติดตามในช่วงย่างเข้าฤดูหนาวของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งแต่เดือนธันวาคม2565 เป็นต้นไป เมื่อประชาชนหลบอยู่ในบ้าน และอาคารเนื่องจากอากาศหนาว และไม่สวมหน้ากากอนามัยและไม่เว้นระยะห่างทางสังคมเนื่องจากมีการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ จะก่อให้เกิดการระบาดของโอไมครอน BA.2.75.2 หรือ BQ.1.1 หรือไม่ หรือ BA.5 ยังคงระบาดครอบคลุมพื้นที่เป็นส่วนใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้โอไมครอนสายพันธุ์ย่อยที่มีการกลายพันธุ์ไปมากกว่าสามารถเข้ามาแทนที่ได้ และถูกกำจัด (elimination) ไปด้วยกันด้วยวัคซีนเข็มกระตุ้น วัคซีนเจนเนอเรชัน 2 (update vaccine) หรือภูมิที่ได้รับจากการติดเชื้อตามธรรมชาติ
องค์การอนามัยโลกมีขั้นตอนการกวาดล้างโรคติดต่อที่เกิดกับมนุษย์และมีการระบาดไปทั่วโลกที่ควบคุมไม่ได้ (pandemic) อย่างไวรัสโคโรนา 2019 ดังนี้
1. โดยการป้องกัน (Prevention): เช่นสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม ตรวจ ATK ตรวจ PCR ตรวจหาสายพันธุ์ “Genotyping” รวมทั้งการถอดรหัสพันธุกรรม (ไวรัสและผู้ติดเชื้อ) ช่วยติดตามการระบาด ช่วยพัฒนาวัคซีน ยา แอนติบอดีสำเร็จรูปมาใช้อย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ ให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ผ่านสื่อสารมวลชนถึงประชาชนในรูปแบบดิจิทัล (digital health literacy) เพื่อให้ประชาชนเกิดปัญญาตระหนักรู้ สามารถตัดสินใจป้องกัน ดูแล และรักษาได้ด้วยตนเอง
2. การควบคุม (Control): จากการดำเนินงานการป้องกันในข้อหนึ่งอย่างเข้มข้นมาตลอดเกือบ 3 ปีทำให้เราสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลงได้ในระดับที่ระบบสาธารณสุขของประเทศจากการร่วมมือของภาครัฐ ภาคประชาชน เอกชน และ NGO สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ และผู้เสียชีวิตลงได้ ประเทศไทยรวมสามปีมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโควิดร้อยละ 0.7 ในขณะนี้ทั้งโลกมีอัตราผู้เสียชีวิตด้วยโควิด-19 ร้อยละหนึ่ง โรคโควิด-19 ในปัจจุบันมีลักษณะเช่นเดียวกับโรคมาลาเรีย ที่เราทำได้เพียงควบคุมการระบาดยังไม่สามารถกำจัด (Elimination) หรือกวาดล้างให้หมดไปจากโลกได้ (eradication) ในกรณีของมาลาเรียเป็นเพราะโรคนี้มียุงเป็นพาหะ เราไม่สามารถกำจัดยุงให้หมดไปจากโลกได้ ส่วนกรณีไวรัสโคโรนา-2019 ยังไม่สามารถกำจัด และกวาดล้างให้หมดไปจากโลกได้เพราะไวรัสมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง และมีสัตว์เป็นพาหะร่วม
3. การกําจัด (Elimination): เมื่อเราควบคุมการติดต่อจะช่วยให้สามารถหยุดยั้งการระบาดได้ในบางพื้นที่ เช่น โปลิโอ (ขณะนี้พบบางประเทศเท่านั้น เช่น ปากีสถาน และ อัฟกานิสถานที่ยังมีการระบาดประปราย)
4. การกวาดล้าง (Eradication): การกวาดล้างให้โรคติดเชื้อไวรัสให้หมดไปจากโลกขณะนี้เราทำสำเร็จไปเพียงโรคเดียวในมนุษย์คือโรค “ฝีดาษ (smallpox)” ที่ติดต่อโดยเชื้อไวรัสวาริโอลา (Variola Virus) ซึ่งการกลายพันธุ์เพื่อเปลี่ยนแปลงเปลือกนอกของไวรัสวาริโอลา เพื่อหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันแทบไม่เกิดขึ้นเลยในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ทำให้การปลูกฝีดาษเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ผลดี ปลูกฝีเพียงครั้งเดียว ป้องกันการการติดโรคฝีดาษได้ตลอดชีพ ในกรณีของไวรัสโคโรนา 2019 อาจถูกกวาดล้างลงได้เช่นเดียวกันเมื่อมีการพัฒนาวัคซีนประเภท "Universal covid-19 vaccine" ซึ่งสามารถจับกับอนุภาคไวรัสโคโรนา-2019 ที่เข้ามารุกรานร่างกายของเราได้ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหนเก่าและใหม่ได้สำเร็จ
เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
--------------------
เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก
ทุกประเด็นร้อนข่าวสาร สาระ ทันเหตุการณ์ พูดคุยกันได้ 24 ชม.
คลิกเลย >>> TrueID Community <<<