สิงคโปร์เปิดพรมแดนต้อนรับประเทศเอเชียใต้ พร้อมผ่อนคลายมาตรการกักตัวโควิด

วันนี้ (24 ต.ค.64) กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ หรือเอ็มโอเอช (MOH) ระบุว่า การประกาศเปิดพรมแดนมีขึ้นหลังการทบทวนสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเหล่านี้ เริ่มจากเวลา 23.59 น.ของวันที่ 26 ตุลาคม นักท่องเที่ยว ซึ่งรวมทั้งนักท่องเที่ยวระยะสั้น ที่มีประวัติการเดินทาง 14 วันไปยังบังกลาเทศ อินเดีย เมียนมา เนปาล ปากีสถาน และศรีลังกา ก่อนเดินทางเข้าสิงคโปร์ จะได้รับอนุญาตให้เข้า หรือเดินทางผ่านสิงคโปร์ได้อีกครั้ง  

ทั้งนี้ ผู้เดินทางเหล่านี้ จะต้องอยู่ภายใต้มาตรการคุมเข้มพรมแดนที่สิงคโปร์จัดแบ่งเป็น 4 ประเภท ซึ่งรวมทั้งการแจ้งเตือนให้กักตัว 10 วันในสถานที่ที่ทางรัฐบาลกำหนดไว้

ส่วนมาเลเซีย กัมพูชา อียิปต์ ฮังการี อินโดนีเซีย อิสราเอล มองโกเลีย กาตาร์ รวันดา ซาเมา เชเชลส์ แอฟริกาใต้ ตองกา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี และเวียดนาม จะอยู่ภายใต้มาตรการประเภทที่ 3 คือนับจากเวลา 23.59 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม ผู้เดินทางทั้งหมดจากภูมิภาคประเภทที่ 3 จะสามารถได้รับการแจ้งเตือนให้กักตัว 10 วันในสถานที่อยู่อาศัย หรือหอพัก โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ฉีดวัคซีน และประวัติการเดินทางของพวกเขาและสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาด้วย 

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย แถลงว่า ออสเตรเลียจะทำข้อตกลง “Travel Bubble” หรือการเปิดท่องเที่ยวแบบจับคู่เดินทางกับสิงคโปร์ในเร็ว ๆ นี้ รายละเอียดของแผนการนี้จะเปิดเผยให้ทราบสัปดาห์หน้า โดยสิงคโปร์จะเป็นระเบียงท่องเที่ยวประเทศที่ 2 เท่านั้น สำหรับออสเตรเลีย ซึ่งปิดพรมแดนไม่ต้อนรับชาวต่างชาติมาตั้งแต่ไวรัสโควิดเริ่มระบาด และปัจจุบันนี้อนุญาตให้เฉพาะนิวซีแลนด์เข้าประเทศได้อย่างเสรี

ข้อตกลงกับสิงคโปร์ ขยายเป้าหมายของออสเตรเลียในการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศในเดือนหน้า แต่เบื้องต้น ออสเตรเลียจะอนุญาตให้พลเมืองที่ฉีดวัคซีนครบ พลเมืองถาวร และสมาชิกในครอบครัว เดินทางเข้าประเทศได้โดยไม่จำเป็นต้องกักตัว 

นายมอร์ริสัน กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจากับรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ แถลงตอบในวันศุกร์ ว่า เขารู้สึกยินดีมากที่ได้ยินคำเชิญชวนของออสเตรเลีย ทั้งนี้ สิงคโปร์และออสเตรเลีย มีความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจและการลงทุนที่แข็งแกร่ง และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชนก็อบอุ่น

ภาพจาก Reuters