สตาร์ตอัพเอไอรับ 1.3 พันล้าน หลังบริษัทยักษ์ใหญ่ร่วมระดมทุน
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา Inflection AI (อินเฟลกชัน เอไอ) บริษัทสตาร์ตอัปปัญญาประดิษฐ์ในสหรัฐอเมริกาเผยว่า บริษัทได้รับเงินระดมทุนมากถึง 1.3 พันล้านเหรียญ (ราว 4 หมื่นล้านบาท) จากนักลงทุนและบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายเจ้า เช่น อินวิเดีย ( Nvidia) บริษัทผู้ผลิตชิประดับโลก และไมโครซอฟท์ (Microsoft) ทำให้มูลค่าบริษัทสตาร์ตอัป Inflection AI ที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงหนึ่งปี พุ่งสูงถึง 4 พันล้านเหรียญ (ราว 140,000 ล้านบาท) เป็นที่เรียบร้อย
Inflection AI พิเศษอย่างไร ?
เหตุผลที่นักลงทุนและบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังร่วมลงทุนกับอินเฟลกชัน เอไอ เป็นเพราะ อินเฟลกชัน เอไอนั้นก่อตั้งโดยสองผู้บริหารชื่อดังอย่าง รีด ฮอฟฟ์แมน (Reid Hoffman) ผู้ร่วมก่อตั้งลิงค์อิน (LinkedIn) เครือข่ายมือสังคมด้านธุรกิจและอาชีพ และ มุสตาฟา สุไลมาน (Mustafa Suleyman) อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง ดีปมายด์ (DeepMind) บริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ชื่อดัง อีกทั้งยังทีมนักพัฒนาจากบริษัทชื่อดังอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการฝ่ายวัจัยวิศวกรรมจากบริษัท เมตา (Meta) หรือผู้จัดการผลิตภัณฑ์จากบริษัท กูเกิล เป็นต้น
นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อินเฟลกชัน เอไอเปิดตัวแชทบอต Pi (พาย) หรือ personal AI ปัญญาประดิษฐ์ส่วนบุคคล ซึ่งทางบริษัทระบุว่า Pi มีความสามารถโต้ตอบบทสนทนากับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติคล้ายกับแชตจีพีที (ChatGPT) แชทบอตอัจฉริยะสุดฮิตจากบริษัทโอเพน เอไอ (OpenAI) อีกทั้งบริษัทยังตั้งใจสร้าง Pi ให้ “มีความเป็นมนุษย์” มีจุดเด่นตรงที่ความขี้เล่นและใจดี พร้อมเป็นผู้ช่วยสารพัดประโยชน์ คอยดูแล วางแผน รวบรวมข้อมูล และชวนผู้ใช้คุยเรื่องอื่น ๆ ได้ นอกเหนือจากคำถามที่ผู้ใช้ป้อนให้
พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้เร็วและแรงกว่าคู่แข่ง
โดยสุไลมานอธิบายว่า เงินระดมทุนมหาศาลที่ได้รับมาจะนำไปใช้พัฒนาโมเดลปัญญาประดิษฐ์ ให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอินเฟลกชัน เอไอระบุว่าทางบริษัทใช้การ์ดจอ Nvidia H100 GPU (อินวิเดีย เฮช100) ซึ่งออกแบบมาใช้งานกับโมเดลปัญญาประดิษฐ์โดยเฉพาะ มากกว่า 22,000 ตัว ในการประมวลผล ซึ่งหากเทียบจำนวนกันแล้ว อินเฟลกชัน เอไอใช้จำนวนการ์ดจอประมวลผลมากกว่าคู่แข่งรายสำคัญอย่างแชตจีพีทีเกือบ 3 เท่าเลยทีเดียว
ท่ามกลางกระแสอันร้อนแรงของปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน หลายบริษัทได้เปิดตัวแชทบอตและปัญญาประดิษฐ์กันมากมาย ผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ คงติดตามกันต่อไปว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ไปเดินหน้าไปสู่ทิศทางไหน แล้วคนทั่วไปจะได้ประโยชน์ หรือใช้งานปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ให้ชีวิตมีความสะดวกสบายมากขึ้นได้อย่างไรต่อไป
ที่มาข้อมูล Reuters, Inflection
ที่มาภาพ Inflection, Nvidia