อย่ารอให้หายใจไม่ออก แล้วค่อยพูดถึงโลกร้อน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็นหนึ่งในภัยคุกคามระดับโลกที่สำคัญที่สุดต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในศตวรรษนี้ แม้เรื่องนี้จะได้รับการพูดถึงมานานหลายทศวรรษ แต่ในหลายประเทศยังคงมองว่าเป็นเพียงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ในความเป็นจริง ผลกระทบของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงนั้นแทรกซึมเข้าสู่ทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจ หรือความมั่นคงของสังคมโดยรวม ปัจจุบัน หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า สภาพอากาศที่รุนแรง โรคอุบัติใหม่ ภาวะทุพโภชนาการ และปัญหาสุขภาพจิต ล้วนมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อสุขภาพมนุษย์สามารถแบ่งได้เป็นสองลักษณะใหญ่ คือ ผลกระทบโดยตรง และ ผลกระทบโดยอ้อม
ผลกระทบโดยตรงคือสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม พายุ หรือไฟป่า เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดการบาดเจ็บ การสูญเสียชีวิต และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า กว่า 37% ของการเสียชีวิตส่วนเกินจากคลื่นความร้อนทั่วโลกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีสาเหตุจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์เป็นผู้ก่อขึ้น นอกจากนี้ ภัยแล้งและความร้อนสูงยังนำไปสู่ไฟป่าขนาดใหญ่ ทำลายแหล่งอาศัยและทรัพย์สินของประชาชน พร้อมกับก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศซึ่งคร่าชีวิตผู้คนกว่า 1.5 ล้านคนทั่วโลกในแต่ละปี
ผลกระทบโดยอ้อมมีความซับซ้อนและรุนแรงไม่แพ้กัน เมื่อฝนไม่ตกตามฤดูกาลและอุณหภูมิสูงขึ้น การผลิตอาหารและแหล่งน้ำสะอาดลดลง ส่งผลให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร โรคระบาด และการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อ เช่น ไข้เลือดออกหรือโรคที่มียุงเป็นพาหะ ซึ่งได้แพร่กระจายไปยังพื้นที่ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยพบมาก่อนในอดีต
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกและการขยายตัวของน้ำอุ่น กำลังค่อย ๆ กัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งและบังคับให้ประชากรจำนวนมากต้องอพยพออกจากถิ่นฐานเดิม ปรากฏการณ์ “ผู้อพยพจากสภาพภูมิอากาศ” (climate migrants) จึงเกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ นำไปสู่ปัญหาความเครียด ความไม่มั่นคง และภาระต่อระบบสาธารณสุขในประเทศที่รับผู้อพยพเข้าไป
ผลกระทบเหล่านี้ไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียมกัน พื้นที่หรือประเทศที่มีทรัพยากรจำกัดมักได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพและเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคทวีความรุนแรงมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ประเทศเกาะขนาดเล็กในแปซิฟิกกำลังเผชิญกับการสูญเสียพื้นที่อยู่อาศัยจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ขณะที่ประเทศร่ำรวยกลับยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง
ในด้านจิตใจ การรับรู้ถึงภัยที่กำลังเกิดขึ้น รวมถึงความรู้สึกหมดหนทางต่อการแก้ไขของรัฐบาล ทำให้เกิดภาวะ “ความวิตกกังวลทางสิ่งแวดล้อม” หรือ “eco-anxiety” ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิตของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่กังวลเกี่ยวกับอนาคตของโลก
แม้จะมีหลักฐานชัดเจนถึงความเสี่ยงของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่รัฐบาลหลายประเทศ รวมถึงนิวซีแลนด์ ยังดำเนินนโยบายที่ไม่เพียงพอต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบางกรณีกลับให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมพลังงานและเกษตรกรรมมากกว่าการปกป้องสุขภาพประชาชน นโยบายการปรับตัวในปัจจุบันยังไม่คำนึงถึงปัจจัยทางสังคมและสุขภาพอย่างรอบด้าน และอาจยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพรุนแรงยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศสามารถสร้าง “ผลประโยชน์ร่วม” (co-benefits) ต่อสุขภาพได้ เช่น การลดมลพิษทางอากาศในเมือง การส่งเสริมระบบขนส่งสาธารณะ การใช้พลังงานสะอาด และการออกแบบเมืองที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ยังยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง
วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เพียงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็น “ปัญหาสาธารณสุขระดับโลก” ที่กำลังคุกคามชีวิตมนุษย์ในทุกมิติ ตั้งแต่ร่างกาย จิตใจ ไปจนถึงความมั่นคงของสังคม การแก้ปัญหานี้จึงไม่สามารถฝากไว้กับระบบสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งเกษตรกรรม พลังงาน การขนส่ง และการวางผังเมือง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง
รัฐบาลและประชาคมโลกจำเป็นต้องยอมรับว่า “สุขภาพของโลก” และ “สุขภาพของมนุษย์” คือสิ่งเดียวกัน การลงทุนในนโยบายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เพียงการปกป้องสิ่งแวดล้อม แต่คือการปกป้องชีวิตและอนาคตของมนุษยชาติ
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
