หมู่เกาะแปซิฟิกกำลังจมน้ำ ชาวเกาะขอ “วีซ่ามนุษยธรรม” อพยพเข้าประเทศอื่น หนีภัยโลกร้อน

ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศและการย้ายถิ่นเรียกร้องให้ประเทศในภูมิภาคแปซิฟิกเร่งดำเนินการสร้าง “ช่องทางทางกฎหมาย” สำหรับผู้ที่ต้องอพยพหนีภัยจากวิกฤตโลกร้อน หลังรายงานฉบับใหม่ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนลเผยให้เห็นขนาดของปัญหาที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วภูมิภาค
รายงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนสากล แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ระบุว่า ระบบตรวจคนเข้าเมืองในปัจจุบันยังไม่สามารถรองรับชาวเกาะแปซิฟิกที่ต้องการหาที่อยู่ใหม่อย่างปลอดภัยและมั่นคงได้ โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจนบ้านเกิดเริ่มไม่สามารถอยู่อาศัยได้
แอมเนสตี้เรียกร้องให้ “นิวซีแลนด์” ประเทศที่มีชุมชนชาวแปซิฟิกอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก ปฏิรูประบบนโยบายการย้ายถิ่นอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เกิด “แนวทางด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับการพลัดถิ่นจากสภาพภูมิอากาศ” รวมถึงการจัดตั้ง “วีซ่ามนุษยธรรม” สำหรับผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตโลกร้อน องค์กรยังย้ำว่า การสร้างช่องทางที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด เป็น “ส่วนหนึ่งของพันธกรณีของรัฐในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชน”
รายงานระบุว่า ประเทศตูวาลูและคิริบาส ซึ่งมีพื้นที่ส่วนใหญ่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 2-3 เมตร กำลังเผชิญภัยคุกคามในระดับที่น่าเป็นห่วงต่อการดำรงชีวิตจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น การกัดเซาะชายฝั่ง และสภาพอากาศสุดขั้ว ปัจจุบันประชาชนจำนวนมากเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสะอาด อาหาร และที่อยู่อาศัยปลอดภัย
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ประเมินว่า ทุกปีมีประชาชนอย่างน้อย 50,000 คนในภูมิภาคแปซิฟิก เสี่ยงต้องอพยพจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำทะเลหนุนสูงและพายุรุนแรง อีกทั้งมากกว่าครึ่งของประชากรในหมู่เกาะเหล่านี้อาศัยอยู่ในระยะไม่เกิน 500 เมตรจากชายฝั่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงเร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลก
ข้อมูลจากองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่น (IOM) ยังระบุว่า ระหว่างปี พ.ศ. 2551 – 2560 มีประชาชนกว่า 320,000 คน ในหมู่เกาะแปซิฟิกต้องพลัดถิ่นจากภัยธรรมชาติ ขณะที่องค์การนาซาคาดการณ์ว่า ระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงขึ้นอีกถึง 15 เซนติเมตรภายใน 30 ปีข้างหน้า
แม้นิวซีแลนด์และออสเตรเลียจะมีโครงการรับแรงงานจากหมู่เกาะแปซิฟิกอยู่แล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าช่องทางเหล่านี้ยังไม่เพียงพอและไม่ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่เปราะบางที่สุด เช่น ผู้สูงอายุและผู้พิการ สำหรัลระบบ “Pacific Access Category” ของนิวซีแลนด์ ซึ่งใช้การสุ่มจับฉลากและมีข้อกำหนดด้านสุขภาพที่เข้มงวด ส่งผลให้หลายครอบครัวต้องแยกจากสมาชิกที่มีภาวะพิการหรือป่วยเรื้อรัง โดยระหว่างปี พ.ศ. 2553–2567 มีผู้สมัครอย่างน้อย 26 รายที่ถูกปฏิเสธเนื่องจากไม่ผ่านข้อกำหนดด้านสุขภาพ
นักวิชาการด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานของแปซิฟิกเสนอว่า การสร้าง “วีซ่ามนุษยธรรม” จะช่วยให้การย้ายถิ่นเกิดขึ้นอย่างมีศักดิ์ศรี เป็นการวางแผนเชิงรุกเพื่อรับมือกับความเป็นจริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มากกว่าจะปล่อยให้เกิดการอพยพอย่างสิ้นหวังในยามวิกฤต
ชาวตูวาลูจำนวนมากเริ่มยอมรับว่าการย้ายถิ่นอาจเป็นทางออกสุดท้าย หากบ้านเกิดไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกต่อไป หนึ่งในผู้ให้สัมภาษณ์ในรายงานกล่าวว่า เมื่อเห็นความเสียหายจากน้ำทะเลหนุนสูง และพายุที่รุนแรงมากขึ้น เขาจะ “ไม่ลังเลที่จะขอวีซ่าผู้ลี้ภัยหากมีโอกาส” เพราะสิ่งที่เห็นคือ “หลักฐานของภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างแท้จริง”
ในขณะที่รัฐมนตรีตรวจคนเข้าเมืองของนิวซีแลนด์ยังไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานฉบับนี้ แต่แรงกดดันทางสังคมและนานาชาติกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีประชากรในประเทศกว่า 9% ที่มีเชื้อสายจากหมู่เกาะแปซิฟิก เช่น ซามัว ตองกา และคุกไอส์แลนด์
ก่อนหน้านี้ในปี พ.ศ. 2560 “จาซินดา อาร์เดิร์น” อดีตนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ เคยเสนอแนวคิดจัดตั้ง “วีซ่ามนุษยธรรมสำหรับผู้พลัดถิ่นจากภูมิอากาศ” จำนวน 100 คนต่อปี แต่โครงการไม่เคยเกิดขึ้นจริง สร้างความผิดหวังให้กับนักสิทธิมนุษยชนและนักสิ่งแวดล้อม
ขณะเดียวกัน ประเทศตูวาลูเพิ่งลงนามใน สนธิสัญญา Falepili Union กับออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นกรอบกฎหมายแรกของโลกที่รับรอง “ความต่อเนื่องของรัฐ” ของตูวาลู แม้บางส่วนของประเทศอาจจมหายไปจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
รัฐบาลตูวาลูระบุว่า ข้อตกลงนี้เป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าความเป็นรัฐไม่จำเป็นต้องสิ้นสุดลงเพียงเพราะดินแดนถูกน้ำทะเลกลืน และหวังว่าจะเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นนำไปพัฒนาเป็น “สนธิสัญญาภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ” เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ได้รับผลกระทบจากโลกร้อนทั่วโลก
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การเรียกร้องในครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนต่อประเทศชายฝั่งทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีพื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามันที่อยู่ในระดับต่ำและเสี่ยงต่อการรุกล้ำของน้ำทะเลเช่นกัน โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาและกรุงเทพฯ ซึ่งอาจเผชิญชะตากรรมไม่ต่างจากหมู่เกาะแปซิฟิกในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า หากไม่มีมาตรการปรับตัวและลดการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจัง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
