สินค้าจีน" จ่อทะลักไทย หนีสงครามการค้าโลก l World Wide Wealth

การค้าการขายในประเทศหลังจากนี้มีความท้าทายหลายด้านโดยเฉพาะผลกระทบจากระดับโลกมาสู่ระดับรากของไทยได้เช่นกัน จากเกิดสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐ และจีน ที่เดินหน้าขึ้นภาษีตอบโต้กันไปมาและไทยเราเองก็ถูกขึ้นภาษีนำเข้าไปยังสหรัฐด้วยเช่นกันแม้จะมีความหวังเรื่องการต่อรองและเจรจา แต่ก็ยังไม่ชัดเจนไม่แน่นอนเสมอไป
ล่าสุดข้อมูลจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทย โดยนายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ปีนี้ค้าปลีกไทยต้องเจอกับความท้าทายอย่างหนักหน่วงย้ำว่าผู้ประกอบการค้าปลีกไทยไม่เพียงต้อง “อยู่รอด” แต่ต้อง “ยืนหยัด” และ “ก้าวนำ” ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน การ “ตั้งรับ รุกกลับ และปรับตัว” จึงเป็นกุญแจสำคัญในการฝ่าวิกฤติ
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ภาคค้าปลีกไทยในปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 4 ล้านล้านบาทคิดเป็น 16% ของ GDP แต่แนวโน้มในปีนี้จะหดตัวลงจากการเติบโตของยอดขายในช่วงปี 2567-2568 ชะลอตัวลงเฉลี่ย 3.4% เทียบกับช่วงปี 2565-2566 ที่เติบโต 5.9% สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคฟื้นตัวช้า และการแข่งขันรุนแรงจากแพลตฟอร์ม E-Commerce ต่างชาติ
โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย และอีกด้านทำให้สินค้าจีนเกิดปัญหาล้นตลาด โอเวอร์ซัพพลาย หาที่ระบาย หาที่ขายไม่ได้ มีโอกาสทะลักเข้ามาในไทย และภูมิภาคอาเซียนจำนวนมาก ซึ่งจะไปกระทบต่อผู้ประกอบการไทย และ SME ที่มีอยู่กว่า 3.3 ล้านรายรวมถึงปัจจัยเสี่ยงเรื่องต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้นจากการปรับค่าแรง ค่าขนส่ง และค่าพลังงาน ทั้งหมดนี้อาจรุนแรงหนักถึงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างแรงงานได้
ทั้งนี้เบื้องต้นประเมินว่าสินค้าที่คาดว่าจะทะลักเข้ามาในประเทศ คือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าแอกเซสซอรี และสินค้าเครื่องหนัง นอกจากนี้เรายังต้องระวังหรือกังวลสินค้าด้อยคุณภาพที่เข้ามาด้วย
พร้อมย้ำว่าภาคค้าปลีกของไทยมีความสำคัญ ยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทั้งในภาคการผลิต การบริโภค และการจ้างงาน