รัฐบาลจีนโชว์ภาพโครงการ "ปลูกป่าในทะเลทราย"

China: รัฐบาลจีนโชว์ภาพโครงการปลูกป่าไม้ในทะเลทรายที่กำลังเริ่มเห็นผล เปลี่ยนทะเลทรายและหนองน้ำที่แห้งแล้วให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม 

ความคืบหน้าโครงการ "ปลูกป่าในทะเลทราย" เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเปลี่ยนทะเลทรายและหนองน้ำที่แห้งแล้ง ใกล้กับพรมแดนให้กลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อป้องกันกรุงปักกิ่งให้รอดพ้นจากพายุทรายที่พัดมาจากทะเลทรายโกบี 

ทะเลทรายโกบี มีพื้นที่เกือบ 1.3 ล้านตารางกิโลเมตร ตั้งแต่มองโกเลียไปจนถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน โดยพายุทรายที่พัดจากทะเลทรายแห่งนี้ มักปกคลุมจัตุรัสเทียนอันเหมิน ด้วยฝุ่นแทบทุกฤดูใบไม้ผลิ

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พายุทรายรุนแรงพัดถล่มกรุงปักกิ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ทำให้ความพยายามในการปลูกป่าอยู่ภายใต้การพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะอันที่จริง ที่ดินว่างเริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ 

ช่วง 40 ปีที่ผ่านมา “โครงการป่าพักพิงสามภาคเหนือ” เป็นโครงการปลูกป่าที่เรียกขานกันว่า “กำแพงสีเขียว” ช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าเกือบ 1 ใน 4 ของจีน โดยเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างน้อย 10% ในปี 1949

การปลูกต้นไม้ไม่ได้เป็นเพียงการบรรลุเป้าหมายการปลูกป่าของรัฐ หรือการปกป้องกรุงปักกิ่งเท่านั้น เมื่อพูดถึงการทำมาหากินจากพื้นที่เพาะปลูกตามเขตชายขอบ ต้นไม้ พุ่มไม้ และใบหญ้าทุกต้นล้วนมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น และทำให้แหล่งน้ำแห้งเหือดมากยิ่งขึ้น

ส่วนไม้ที่เห็นกันในทะเลทรายแห่งนี้ เป็นพุ่มไม้ดอกที่รู้จักกันในชื่อ สวีต เวตช์ มีอัตราปลูกสำเร็จ 80% แม้ในสภาพทะเลทรายแห้งแล้งรุนแรง และเป็นส่วนสำคัญของความพยายามในการ “ตรึงทราย” ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในท้องถิ่นสำหรับการปลูกพุ่มไม้ และหญ้าในพื้นที่ทั่วเนินทะเลทราย เพื่อป้องกันไม่ให้ทรายไหลเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกใกล้เคียง

นอกจากนี้ ต้นไม้ยังกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจชุมชนด้วย โดยหมู่บ้านฮองชวย มณฑลกานซู ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ มีโครงการป่าไม้เชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่รัฐเป็นเจ้าของเรียกว่า “ตูดันอิง”

บรรดาผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า งานปลูกป่าไม้ของจีน มีความเชี่ยวชาญและทันสมัยมากขึ้นในช่วงหลายปีมานี้ รัฐบาลได้ประโยชน์จากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายสิบปี และสามารถระดมอาสาสมัครหลายพันคนมาช่วยกันปลูกป่า นอกจากนี้ รัฐบาลจีนมีแผนการเพิ่มพื้นที่ป่าทั้งหมดจาก 23% เมื่อปีที่แล้ว เป็น 24.1% ภายในปี 2025