ทำความรู้จัก Meteor จรวดคู่ใจเครื่อง Gripen เตรียมประจำการในไทยมีดียังไง ?

กองทัพอากาศไทยได้ประกาศแผนจัดซื้อเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F รุ่นใหม่เพื่อทดแทนฝูงบินเก่าที่กำลังจะปลดประจำการ และหนึ่งในจุดที่ถูกจับตามองคือการยืนยันการจัดซื้ออาวุธปล่อยนำวิถี MBDA Meteor ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศที่ทันสมัยที่สุดในโลกปัจจุบัน
คำถามที่เกิดขึ้นตามมาคือ ทำไมต้องเป็นรุ่นนี้? อะไรทำให้ Meteor โดดเด่นจนกองทัพไทยเลือกซื้อทั้งที่ราคาสูง?
Meteor คืออะไร?
MBDA Meteor เป็นจรวดอากาศสู่อากาศแบบ Beyond Visual Range Air-to-Air Missile (BVRAAM) หรือ “จรวดระยะไกลนอกสายตา” ที่สามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะไกลถึง 200 กิโลเมตร ซึ่งหมายความว่า เครื่องบินสามารถยิงขีปนาวุธออกไปก่อนที่เรดาร์ของฝ่ายตรงข้ามจะตรวจจับได้ด้วยซ้ำ หรือ “ยิงก่อนเห็นเป้า”
หัวใจของ Meteor อยู่ที่ระบบขับเคลื่อนแบบ Ramjet ซึ่งต่างจากจรวดทั่วไปที่ใช้แรงผลักเริ่มต้นแล้วหมดพลังงานทันที ระบบ Ramjet จะดูดอากาศภายนอกมาเผาไหม้ ทำให้จรวดสามารถ “รักษาความเร็วสูงได้อย่างต่อเนื่อง” ขณะเข้าโจมตี เปรียบได้กับการมีเครื่องยนต์ที่ทำงานได้ตลอดการบิน ไม่ใช่เพียงวูบเดียวแล้วหมดแรง ส่งผลให้ Meteor มี พลังโจมตีสูงต่อเนื่องจนถึงเป้าหมาย แม้ระยะทางจะไกลมาก
ความเหนือชั้นของ Meteor เทียบกับ AMRAAM
ปัจจุบัน กองทัพอากาศไทยยังใช้งานจรวด AIM-120 AMRAAM ของสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งมีระยะยิงประมาณ 160 กิโลเมตร แม้จะน้อยกว่า Meteor แต่ก็ยังถือว่าเป็นอาวุธระดับมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างที่สำคัญจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ “ระยะสูงสุด” เท่านั้น แต่อยู่ที่สิ่งที่เรียกว่า No-Escape Zone หมายถึง “ระยะที่เมื่อจรวดถูกยิงเข้าใส่แล้ว เครื่องบินเป้าหมายไม่สามารถหลบหนีได้ แม้จะพยายามหลบหลีกทุกทาง”
Meteor มี No-Escape Zone ถึง 60 กิโลเมตร
AMRAAM มี No-Escape Zone เพียง ประมาณ 30 กิโลเมตร
ความหมายของตัวเลขนี้คือ ถ้าศัตรูอยู่ในรัศมี 60 กิโลเมตร แล้วถูก Meteor ยิงเข้าใส่ โอกาสรอดแทบไม่มี ต่างจาก AMRAAM ที่ต้องรอให้เข้าใกล้กว่านั้นครึ่งหนึ่ง
นอกจากนี้ Meteor ยังมีระบบนำวิถีขั้นสูงและลิงก์ข้อมูลแบบ Two-way datalink ช่วยให้ปรับเปลี่ยนเป้าหมายกลางอากาศได้ และลดความเสี่ยงต่อการหลอกล่อจากเป้าลวง (Decoys) ได้ดีกว่า
ราคาและความรุนแรงที่แลกมาด้วยงบประมาณ
Meteor มีราคาต่อหน่วยสูงถึง ประมาณ 60 ล้านบาทต่อลูก ขณะที่ AMRAAM อยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาทต่อลูก ซึ่งเท่ากับว่า Meteor แพงกว่า เท่าตัว
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความสามารถโดยเฉพาะ No-Escape Zone ที่มากกว่าเท่าตัวเช่นกัน Meteor จึงถูกมองว่า “แพงแต่คุ้ม” โดยเฉพาะเมื่อมาประจำการกับเครื่องบินอย่าง Gripen E/F ซึ่งออกแบบมาให้รองรับการใช้งานจรวดรุ่นนี้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การเลือก Meteor ไม่ได้เป็นแค่การซื้อจรวดไกลยิงได้ 200 กิโลเมตร แต่เป็นการลงทุนในระบบอาวุธที่สร้าง "เขี้ยวเล็บทางอากาศ" ให้กองทัพไทยมีศักยภาพเหนือคู่แข่งในภูมิภาคอย่างชัดเจน ทั้งในแง่เทคโนโลยีการขับเคลื่อน การโจมตีในระยะปลอดภัย และความแม่นยำสูง
Meteor จึงไม่ใช่แค่จรวด แต่มันคือการประกาศความพร้อมของไทยในการเข้าสู่ยุคใหม่ของการรบทางอากาศอย่างแท้จริง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
