รีเซต

"Nissan" ท้าชน "Tesla" ลุยรถขับขี่อัตโนมัติ

"Nissan" ท้าชน "Tesla" ลุยรถขับขี่อัตโนมัติ
TNN ช่อง16
23 กันยายน 2568 ( 11:55 )
5

ภายใต้การนำของ ซีอีโอ คนใหม่ของนิสสัน มอเตอร์ Ivan Espinosa ที่กำลังเดินหน้าฟื้นฟูธุรกิจครั้งใหญ่ หนึ่งในกลยุทธ์หลัก ก็คือการปรับโฉมรถรุ่นต่าง ๆ ให้ทันสมัย พร้อมกับมุ่งตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อดึงความเชื่อมั่น และความสนใจให้กลับคืนมา ซึ่งบลูมเบิร์ก รายงานว่า นิสสัน อาศัยความร่วมมือกับ Wayve Technologies ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพ ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากสหราชอาณาจักร ที่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากกลุ่ม SoftBank และจากความร่วมมือดังกล่าว เตรียมจะเปิดตัวระบบช่วยขับขี่ ที่เรียกว่า ProPilot เวอร์ชันใหม่ ภายในปีบัญชีของบริษัท ปี 2027 หรือในอีก 2 ปีข้างหน้า

นิสสัน บอกด้วยว่า เทคโนโลยีช่วยขับขี่เวอร์ชันใหม่ล่าสุดนี้ จะมีความสามารถเทียบเท่ากับระบบขับขี่อัตโนมัติ ของ เทสลา ซึ่งแม้ว่าชื่อระบบของ เทสลา จะเรียกว่า Full Self-Driving หรือ ขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่ยังต้องอาศัยการควบคุม ดูแลจากมนุษย์อยู่ดี

โดยเทคโนโลยีที่พูดถึงเหล่านี้ ยังอยู่ในระดับอัตโนมัติขั้นที่ 2 ซึ่งหมายความว่าคนขับจะต้องพร้อมตลอดเวลาในการควบคุมรถ แต่สำหรับ ProPilot ของ นิสสัน ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญของบริษัทฯ ในการแข่งขันกับบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ในสนามพัฒนรถยนต์ไร้คนขับ อย่าง เทสลา และ Waymo ของ Alphabet ที่เป็นบริษัทแม่กูเกิล 

สำหรับ ProPilot ของ นิสสัน เปิดตัวครั้งแรกในปี 2016 เป็นระบบช่วยในการรักษารถให้อยู่กลางเลน และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า ต่อมา เวอร์ชันที่สอง ถูกเปิดตัวเมื่อปี 2019 ได้เพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบไม่ต้องจับพวงมาลัยบนทางด่วน แต่สำหรับรุ่นถัดไปนั้น จะสามารถรับมือกับถนนในเมืองที่วุ่นวาย และมีความซับซ้อนมากกว่าได้ โดยใช้กล้องและจอภาพน้อยลง จากความสามารถของซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดยบริษัท Wayve 

Tetsuya Iijima ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายวิศวกรรมเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ ของนิสสัน เชื่อว่า ระบบของนิสสันนฉลาดกว่าระบบ FSD  ของ เทสลา เพียงแต่ยังไม่สมบูรณ์แบบเท่า เมื่อเทียบในฐานะผลิตภัณฑ์ 

อย่างไรก็ดี แม้จะมีการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในภาคส่วนนี้ แต่การก้าวไปสู่ระบบขับขี่ไร้คนขับอย่างสมบูรณ์ หรือระดับ 5 นั้น ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน แต่ทาง Tetsuya Iijima บอกว่า ระบบนี้สามารถประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ ใกล้เคียงกับมนุษย์มาก และเชื่อว่าจะเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนชีวิตผู้คนได้

ทั้งนี้ นิสสัน มอเตอร์ ได้เริ่มทดสอบระบบดังกล่าวแล้ว เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยใช้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Ariya ที่ติดตั้งระบบป้องกันการชนขั้นสูง ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ในเขตเมือง โดยรถต้นแบบนี้ ติดตั้งกล้อง 11 ตัว เรดาร์ 5 ตัวและ เซ็นเซอร์ lidar มีความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 ที่ยังต้องให้ผู้ขับขี่เตรียมพร้อมที่จะควบคุมรถ โดยมือต้องอยู่บนพวงมาลัยตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังไม่มีรายงานว่า นิสสัน จะเปิดตัวระบบดังกล่าวกับรถรุ่นใดบ้าง

ขณะที่ Wayve ประกาศเมื่อเดือนเมษายนว่า กำลังร่วมมือกับนิสสัน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ จะผสานเทคโนโลยี เอไอ เข้ากับรถยนต์ที่ผลิตจริง ขณะเดียวกัน สตาร์ตอัพรายนี้ ยังเลือกญี่ปุ่นเป็นประเทศต่อไปในการขยายธุรกิจทั่วโลก โดยวางแผนที่จะเปิดศูนย์ทดสอบที่เมือง โยโกฮามา ซึ่งจะเป็นประเทศที่ 4 ต่อจากสหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา และ เยอรมนี

ด้านสำนักข่าว AP รายงานว่า การผลักดันของ นิสสัน ในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดรถยนต์โดยรวมของญี่ปุ่น กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ 

ขณะเดียวกัน นิสสัน กำลังประสบปัญหา โดยได้ลดพนักงานจำนวนมาก และได้แต่งตั้ง ซีอีโอ คนใหม่ ภายใต้ภารกิจสำคัญในการพลิกฟื้นสถานการณ์ของบริษัทฯ 

อย่างไรก็ดี ตลาดรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ในปัจจุบันกำลังมีการแข่งขันสูงมากขึ้น มีผู้เล่นจำนวนมาก แต่ก็มีแนวโน้มเติบโต เห็นได้จาก ข้อมูลของบริษัทวิจัยตลาด IndustryARC ที่คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 ตลาดดังกล่าว จะมีมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีปัจจัยผลักดันสำคัญคือ ความก้าวหน้าด้าน เอไอ, เทคโนโลยีเซ็นเซอร์อัจฉริยะ และความสามารถในการประมวลผลข้อมูล ที่ทรงพลัง ส่งผลให้ผู้เล่นทั้งในและนอกอุตสาหกรรมยานยนต์เร่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้ 

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่น ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับ Waymo เทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ของ กูเกิล เพื่อสำรวจความร่วมมือด้านซอฟต์แวร์สำหรับการขับขี่อัตโนมัติ  และ Waymo เอง ก็กำลังรุกขยายตลาดญี่ปุ่น โดยร่วมมือกับบริษัทแท็กซี่รายหนึ่ง แต่ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบระบบ

ส่วนผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนัมัติอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Honda Motor, General Motors และ Mercedes-Benz รวมถึงบริษัทนอกอุตสาหกรรมยานยนต์อย่าง Amazon ที่มีบริษัทในเครือ คือ Zoox 

ซึ่งบลูมเบิร์ก รายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นยังคงตามหลังจีน อยู่มาก จากการที่ เทคโนโลยี โรโบแท็กซี่ ของจีน มีความก้าวหน้า โดยมีความสามารถในการขับขี่อัตโนมัติระดับ 4 อย่างกว้างขวาง ในโครงการนำร่องในเมืองต่างๆ เช่น ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ 

ขณะเดียวกัน บริษัทจีนบางแห่ง ยังได้ให้บริการเรียกรถโดยสารไร้คนขับแล้ว และกำลังขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศด้วย โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ซึ่งผู้เล่นหลัก อย่างเช่น Apollo Go และ Pony.ai ของ Baidu กำลังเป็นผู้นำในการพัฒนานี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนของรัฐบาลและความพยายามในการแก้ไขด้านกฎระเบียบ ทำให้ จีนเป็นผู้นำในตลาดโรโบแท็กซี่ ในระดับโลก

ขณะที่ ญี่ปุ่น ยังมีอุปสรรคด้านกฎหมาย แต่ญี่ปุ่น กำลังเผชิญกับสถานการณ์ด้านประชากรศาสตร์ที่มีลักษณะเฉพาะ เช่นเดียวกับ จีน ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยีช่วยขับขี่ มีประโยชน์มากขึ้น ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ จำนวนประชากรสูงวัยที่มีมากขึ้น แต่อัตราการเกิดต่ำ นำไปสู่การขาดแคลนคนขับแท็กซี่ และด้วยเหตุนี้ นิสสัน จึงตั้งเป้าที่จะเปิดตัวบริการเรียกรถอัตโนมัติในปี 2027 ส่วน โตโยต้า มอเตอร์ ก็กำลังสำรวจความร่วมมือกับพันธมิตร Waymo เช่นกัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง