รีเซต

เปิดเกมคุมราคา รับมือ “ข้าวนาปี” ทะลัก

เปิดเกมคุมราคา  รับมือ “ข้าวนาปี” ทะลัก
TNN ช่อง16
29 ตุลาคม 2568 ( 10:49 )
4

ปัจจุบันถ้าดูจากข้อมูล ในปีการผลิต 2568/69 ผลผลิตข้าวโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมทั้งประเทศผู้นำเข้าสำคัญ อาทิ ฟิลิปปินส์ ระงับการนำเข้าข้าว 60 วัน และอินโดนีเซีย ชะลอการนำเข้าข้าวไปจนถึงปี 2569 ซึ่งอาจส่งผลกดดันราคาข้าวในตลาดโลกจากภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupply) ที่เพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่อาจช่วยหนุนราคาข้าว อาทิ ภัยธรรมชาติ มรสุมฝนตกหนักในประเทศอินเดีย ปากีสถาน และเวียดนาม รวมถึงเวียดนามประกาศยกเลิกการยกเว้น และเริ่มเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ร้อยละ 5 กับสินค้าข้าวเพื่อการส่งออกตั้งแต่ 1 ก.ค. 68 เป็นต้นไป ซึ่งอาจมีผลต่อกลไกราคาข้าวของตลาดโลกในระยะข้างหน้า 

ขณะที่ไทยได้เตรียมความพร้อมรับผลผลิตข้าวนาปีปีการผลิต 2568/69 ที่จะกระจุกตัวและออกมาจำนวนมากในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 72 ของผลผลิตทั้งหมด

โดยจากข้อมูล กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า คาดว่าข้าวนาปี ปีการผลิต 68/69 จะมีปริมาณ 26.99 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 17.54 ล้านตันข้าวสาร โดยปัจจุบันมีผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว 6.05 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 3.9 ล้านตันข้าวสาร หรือคิดเป็นร้อยละ 22 ของผลผลิตทั้งหมด และคาดว่าช่วงเดือนพฤศจิกายนผลผลิตจะออกมามากที่สุด 

ส่วนราคาข้าวเปลือกไทยในปัจจุบัน (ณ วันที่ 27ต.ค. 68) ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,200-16,500 บาทต่อตัน, ข้าวเปลือกปทุมธานี 8,200-8,700 บาทต่อตัน, ข้าวเปลือกเจ้า 6,100-6,800 บาทต่อตัน, ข้าวเปลือกเหนียว 8,200-8,700 บาทต่อตัน

ขณะที่ราคาหน้าโรงงาน หรือ FOB หากเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม ราคาข้าวไทยร้อยละ 5 อยู่ที่ 354 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีราคา 589 ดอลลาร์ต่อตัน 

ส่วนราคาข้าวขาวเวียดอยู่ที่ 374 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงร้อยละ 33 เมื่อเทียบกีบปีก่อนที่มีราคา 555 ดอลลาร์ต่อตัน ส่วนข้าวขาวเวียดนามอยู่ที่ 366 ดอลลาร์ต่อตัน  ขณะที่ราคาข้าวหอมมะลิของไทย ราคา 1,088 ดอลลาร์ต่อตัน ส่วนหอมมะลิของเวียดยนามราคาอยู่ที่ 488 ดอลลาร์ต่อตันซึ่งถือว่าราคาถูกว่าไทยเท่าตัว

อย่างไรก็ตาม เพื่อรับมือผลผลิตที่จะออกมาสู่ตลาดจำนวนมาก และเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาข้าวลดลง นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) พิจารณามาตรการดูแลราคาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 68/69 เพิ่มเติมจากเดิมที่นบข. ครั้งล่าสุดได้อนุมัติโครงการไว้แล้ว ได้แก่

1. ให้ 3 หน่วยงาน คือ องค์การคลังสินค้า (อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เข้ามารับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ทั้งข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกเหนียว และข้าวเปลือกหอมปทุมธานี เป้าหมาย 3 ล้านตัน ในราคานำตลาด เพื่อช่วยดึงผลผลิตออกจากตลาด และผลักดันให้ราคาสูงขึ้น

โดยทั้ง 3 หน่วยงานจะรับซื้อตามศักยภาพของตัวเอง แต่อยู่ในเป้าหมาย 3 ล้านตัน ซึ่งจะเป็นการใช้งบประมาณของแต่ละหน่วยงานเอง แต่รัฐบาลอาจช่วยเหลือค่าบริหารจัดการให้บางส่วน 

ซึ่งเมื่อซื้อมาแล้วก็จะเป็นการซื้อมาขายไป ไม่ได้รับจำนำ และนำออกมาระบายเหมือนที่ผ่าน ๆ มา อย่าง อคส. ก็อาจนำไปทำเป็นข้าวสารบรรจุถุง เพราะมีข้าวสารถุงตรา อคส. ขายอยู่แล้ว และขายให้กับลูกค้า เช่น กรมราชทัณฑ์ เป็นต้น

2. กระทรวงพาณิชย์จะเสนอการเร่งระบายข้าว โดยจะผลักดันการส่งออกข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีนปริมาณ 500,000 ตัน และกับสิงคโปร์ 100,000 ตัน 

รวมทั้งการสนับสนุนการส่งออกไปยังตลาดใหม่ให้กับผู้ส่งออก เช่น เม็กซิโก และบังกลาเทศ เพื่อยึดตลาดข้าวไทยคืนมา ผลักดันใช้ปลายข้าวไปเป็นวัตถุดิบทำอาหารสัตว์

3. ผลักดันสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น สนับสนุนเครื่องสีข้าว ช่วยพัฒนาบรรจุภัณฑ์

สำหรับทั้ง 3 มาตรการนี้ เป็นมาตรการเพิ่มเติมจากที่ นบข. ได้เคยอนุมัติก่อนหน้านี้ คือให้สินเชื่อชะลอการขาย โดยเกษตรกรเก็บข้าวในยุ้งฉาง ได้ค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน เป้าหมาย 3 ล้านตัน และให้สินเชื่อรวบรวมข้าวสถาบันเกษตรกร 1.5 ล้านตัน ชดเชยดอกเบี้ยให้โรงสีเก็บสต๊อกข้าว 4 ล้านตัน



ขณะที่ทางฝั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็มีการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาประชุม เพื่อเดินหน้ามาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 

1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ ซึ่งมีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรแสดงความประสงค์เข้าร่วมจำนวนแล้ว 133 แห่ง ในพื้นที่ 37 จังหวัด ใช้วงเงินสินเชื่อรวม 7,638.19 ล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณข้าวเปลือกที่จะเข้าร่วมโครงการ 763,819 ตัน ช่วยลดแรงกดดันจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว และรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในระดับที่เหมาะสม

2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ พบว่า มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรประสงค์เข้าร่วม 170 แห่ง ใน 40 จังหวัด รวมวงเงินสินเชื่อ 13,766.90 ล้านบาท รองรับข้าวเปลือกกว่า 1.37 ล้านตัน 

และขณะนี้สหกรณ์มีความพร้อมในการรวบรวมข้าเปลือกตามมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก 428 แห่ง ใน 57 จังหวัด เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 30 รองรับการรับซื้อจากเกษตรกร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ใช้วงเงินสินเชื่อรวมประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งสหกรณ์ทุกแห่งพร้อมรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป

3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 ดำเนินการโดยกรมการค้าภายในและสมาคมโรงสี เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวสามารถรับซื้อและเก็บสต๊อกข้าว 2–6 เดือน มีเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก 4 ล้านตัน 

โดยภาครัฐสนับสนุนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี วงเงินงบประมาณจ่ายขาด 642 ล้านบาท จะเริ่มรับซื้อตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 มีนาคม 2569 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม 2570

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 มาตรการนี้ใช้เงินช่วยเลหือกว่า 22,000 ล้านบาท และมาตรการทั้งหมดนี้ ยังเป็นการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ สหกรณ์การเกษตร สมาคมโรงสี และ ธ.ก.ส. เพื่อพยุงราคาข้าวให้มั่นคงในช่วงผลผลิตออกมาก 

โดยปีนี้เริ่มดำเนินการเร็วขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 1 เดือน เพื่อให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม และไม่ต่ำกว่าตันละ 12,000 บาท และช่วยลดแรงกดดันจากผลผลิตล้นตลาด

นอกจากนี้ นายอานนท์ นนทรีย์ อธิบดีกรมการข้าว ยังได้ประชุมหารือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อวางแนวทางความร่วมมือแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำจากผลผลิตล้นตลาดในแต่ละปีที่ออกสู่ตลาดพร้อมกัน ซึ่งทำให้ภาครัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อเยียวยาชาวนา อีกทั้งยังเผชิญการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งที่พัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่อย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนกรมการข้าวได้รับมอบหมายให้เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคา ปีการผลิต 2569/70 ร่วมกับ ธ.ก.ส. และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า เพื่อให้มาตรการพร้อมก่อนฤดูกาลผลิตจริง และครอบคลุมทั้งนาปีและนาปรัง 

เพื่อสร้างความมั่นใจ และให้ชาวนารับทราบข้อมูลล่วงหน้าอย่างทั่วถึง ทั้งหมดนี้เป็นมาตรการเชิงรุกที่ กรมการข้าวเป็นแกนกลางในการประสานงาน และขับเคลื่อนในการสร้างกลไกตลาดที่เป็นธรรมให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวต่อไป

ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับทิศทางการผลิตจากปริมาณสู่คุณภาพ มุ่งผลิตข้าวพรีเมียม เป็นข้าวคาร์บอนต่ำ หรือ “Decarbon Rice” คือ ข้าวที่ผลิตและแปรรูปด้วยวิธีการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เช่น การทำนาเปียกสลับแห้ง การใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ที่ไม่ผ่านการเผา

ซึ่งตลาดโลกให้ความสำคัญและต้องการสูง เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตข้าวไทยอย่างยั่งยืน โดยปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 60 – 70 ล้านไร่ 

ดังนันกรมการข้าวจะจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมดำเนินโครงการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ นำร่องในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นลำดับแรก



ส่วนถ้ามาดูฝั่งการส่งออกข้าว จะเห็นว่าจาก รายงานข่าวจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการส่งออก ข้าวไทยในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) 2568 ว่า ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 5.92 ล้านตัน มูลค่า 3,436 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 113,582 ล้านบาท 

ซึ่งลดลงจากช่วงเดียวกันของ ปีก่อนที่มีปริมาณ 7.54 ล้านตัน มูลค่า 4,884 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 173,789 ล้านบาท คิดเป็นปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 21.49 และร้อยละ 29.65 ตามลำดับ

ดังนั้น นางศุภจี สุธรรมพันธุ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  กล่าวว่า ได้มีการหารือผ่านระบบประชุมทางไกลกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ (นายกาน คิม ยอง) เมื่อเร็วๆ นี้   

เพื่อเดินหน้าขยายความร่วมมือการค้าการลงทุนไทย-สิงคโปร์ ผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรไทย เร่งสรุปข้อตกลงการค้าข้าว และผลักดันการเจรจาความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน(DEFA) ให้สำเร็จตามเป้าหมาย 

เพื่อเสริมบทบาทภูมิภาคในเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งการหารือครั้งนี้ได้เน้นย้ำความพร้อมของไทยในการขยายความร่วมมือกับสิงคโปร์ให้มากขึ้น โดยเฉพาะการค้าระหว่างกัน 

ซึ่งไทยมีศักยภาพในการขยายการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ที่ไม่เพียงตอบโจทย์รองรับความต้องการของตลาดสิงคโปร์ แต่ยังเป็นช่องทางขยายสู่ตลาดประเทศอื่นๆ ด้วย 

ทั้งนี้ การที่ไทยและสิงค์โปร์ ร่วมจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านการค้าข้าว ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการค้าข้าวของไทยและความมั่นคงทางอาหารของสองประเทศ โดยคาดว่าข้อตกลงค้าข้าวจะเห็นผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

ขณะเดียวกัน ก็เตรียมเร่งระบายข้าวสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งยังมีข้อตกลงการซื้อข้าวไทยแบบจีทูจี ถึง 280,000 ตันซึ่งตนมีแผนการเดินทางเยือนจีนต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเป็นโอกาสหารือกับผู้นำเข้าสินค้าหลายราย มั่นใจว่าจะสามารถดูแลราคาข้าวให้กับเกษตรกรได้ ซึ่งราคาที่ลดลงในขณะนี้ ส่วนหนึ่งจากผลผลิตเพิ่มขึ้นของประเทศผู้ปลูกข้าวราบใหญ่ รวมถึงปริมาณสต็อกข้าวทั่วโลกมีอยู่จำนวนมากโดยนอกจากนี้ การเดินหน้าเจรจาขายจีทูจี นอกจากจีน ก็ยังมีเป้าหมายขยายไปในกลุ่มตะวันออกกลาง 

ดังนั้น จากมาตรการที่กล่าวมาทั้งหมดคาดว่าจะสามารถช่วยพยุงราคาข้าวในไทย ในช่วงที่ข้าวนาปีออกสู่ตลาดจำนวนมากได้ และยังเป็นการช่วยเกษตรกรในประเทศให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 



ข่าวที่เกี่ยวข้อง