โลกร้อน : เหตุสภาพอากาศสุดขั้วอย่างคลื่นความร้อนทำลายหมู่บ้านในแคนาดาภายในวันเดียว
เวลาผ่านไปไม่กี่นาทีเท่านั้น ไฟได้ลุกลามไปทั่วหมู่บ้านลิตตันในรัฐบริติชโคลัมเบีย
ตอนนั้นเป็นช่วงปลายเดือน มิ.ย. หมู่บ้านแห่งนี้ตกเป็นข่าวใหญ่เมื่ออุณหภูมิพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ของแคนาดาที่ 49.6 องศาเซลเซียส
นอกจากเหตุการณ์นี้จะเป็นคำเตือนถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ลงคะแนนเสียงจะนึกถึงในการเลือกตั้งก่อนกำหนดของแคนาดาในวันที่ 20 ก.ย. นี้ด้วย
เมอเรียล บาร์เบอร์ ผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านคนหนึ่งเล่าว่าวันนั้น "มันร้อนเกินจะบรรยาย"
"ฉันตื่นมาตี 4 เพื่อมาทำอะไรต่ออะไรข้างนอกเพราะว่าตอนกลางวันทำอะไรไม่ได้เลย"
ผู้อยู่อาศัยคนอื่น ๆ ก็เก็บตัวอยู่ในบ้านเหมือนกันเพราะข้างนอกร้อนเกินไป ถนนหนทางไร้คนสัญจร ทำให้หมู่บ้านลิตตันยิ่งเงียบสงัด กว่าเดิม
ที่นี่มีคนอาศัยอยู่เพียง 250 คน ส่วนพื้นที่รายล้อมเป็นพื้นที่สงวนเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับชนเผ่าพื้นเมืองราว 1,000 คน ชุมชนนี้อยู่ห่างจากเมืองแวนคูเวอร์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 260 กม. และเป็นจุดที่แม่น้ำทอมป์สันและแม่น้ำเฟรเซอร์มาบรรจบกัน
คนในหมู่บ้านบอกว่าคนที่นี่สนิทกันชนิดที่ว่า "แทบจะรู้จักกันทุกคน" และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานของชนเผ่าพื้นเมือง
บาร์เบอร์ย้ายมาที่นี่เมื่อ 10 ปีก่อน และรู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนบ้านทันที
"ฉันมาเจอที่นี่และคนเหล่านี้ และได้รับการต้อนรับด้วยวิธีต่าง ๆ หลากหลาย ...ฉันเรียกพวกเขาว่าเป็นครอบครัว"
วันเกิดเหตุไฟป่าเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. บาร์เบอร์เล่าว่าอากาศร้อนระอุและมีลมโหมกระหน่ำรุนแรง
ขณะที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านหลังเลิกงานในเมือง เธอมองเห็นควันโขมงในทิศทางที่หมู่บ้านตั้งอยู่
แต่ไฟป่าในบริติชโคลัมเบียในช่วงหน้าร้อนเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว บาร์เบอร์เลยคิดว่าเดี๋ยวคงมีเจ้าหน้าที่มาควบคุมเพลิงไว้ได้
สักพักเธอก็เจอรถดับเพลิงเปิดสัญญาณฉุกเฉินวิ่งผ่านไป ก่อนจะจอดขวางทาง และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเตือนเธอว่าไฟกำลังไหม้หมู่บ้านลิตตัน
"ฉันมองหน้าเขาอย่างงง ๆ ฉันไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะระหว่างทางที่มา ฉันเห็นไฟไหม้ก็จริง แต่มันก็เป็นแค่จุดเดียว ไม่ได้ลุกลามใหญ่โต"
เธอจอดรถข้างทางหลวงสายหนึ่งพร้อม ๆ กับผู้อยู่อาศัยในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่ง
ก่อนสัญญาณโทรศัพท์จะขาดไป เธอโทรออกไปหาคนสองคนด้วยกัน สายหนึ่งคือเพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนผู้สูงอายุของเธอทุกคนปลอดภัยดี และอีกสายคือให้เจ้าของบ้านเธอช่วยพาแมวที่เธอเลี้ยงไว้ออกมา
อีก 6 ชั่วโมงต่อมา เธอได้แต่รอข่าว และยืนดูหมู่บ้านของตัวเองถูกไฟเผาผลาญมอดไหม้ไปกับตา
เนอห์คีคห์เวิห์ชเทิห์น เจมส์ ผู้อยู่อาศัยอีกคนหนึ่งเล่าเหตุการณ์ว่า ขณะนั้นเธอเพิ่งอาบน้ำเสร็จและกำลังดูทีวี ทันใดนั้น ชายคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาในบ้านและตะโกนว่า "คุณต้องออกไปจากที่นี่ ไฟกำลังลุกไหม้ลิตตัน"
เจมส์ ซึ่งอายุ 76 ปี รีบเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องนอน เธอคว้ากระเป๋าอพยพฉุกเฉินที่เตรียมไว้แล้ว หยิบกุญแจรถ โทรศัพท์มือถือ และหมวก ขณะที่ชายคนนั้นตะโกนเร่งเธอ
"พอออกไปนอกบ้าน ฉันเห็นพายุเถ้าถ่านร้อน ๆ"
เธอวิ่งขึ้นรถ พวงมาลัยร้อนจนมือเธอพอง
"ฉันเปลี่ยนเกียร์และขับออกจากบ้านไปได้ไม่กี่เมตรก็ได้ยินเสียงถังแก๊สในบ้านฉันระเบิด"
เจมส์ขับรถออกจากหมู่บ้านโดยต้องเดาเอาว่าต้องเลี้ยวตรงไหนเพราะเถ้าถ่านบดบังทางเกือบหมด
พอขับไปถึงที่ปลอดภัย พยาบาลก็ทาครีมบริเวณแขน ขา และใบหน้าที่พุพองจากความร้อนและเถ้าถ่านให้
ข้ามแม่น้ำเฟรเซอร์ไป โนนี แมคเคนน์ กำลังเฝ้าดูขณะไฟกำลงโหมทำลายล้างเมือง
เพื่อนบ้านโทรมาหาเธอตอน 5 โมงเย็น เพื่อถามข่าวคราวเกี่ยวกับไฟไหม้ จากนั้นเพื่อนก็บอกว่าไฟไหม้ลิตตันแล้ว และชวนเธอกับสามีไปช่วยติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อมาดับไฟ
"เราใจสลายที่ต้องเห็นบ้านหลายหลังถูกไฟไหม้ บ้านของผู้คนที่พวกเรารู้จัก เราไม่สามารถติดเครื่องเครื่องสูบน้ำได้และควันจากเพลิงไหม้ก็รุนแรงเกินไป… เราก็เลยต้องหันหลังกลับ"
เธอยังจำความรู้สึกต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในเวลานั้นได้ "ภาพที่ฉันเห็นมันน่าหวาดกลัวมาก ฉันรู้สึกโศกเศร้ามากกับความสูญเสียและความหายนะที่เกิดขึ้นตรงหน้า ฉันเป็นห่วงทุกคนและ หวังว่าทุกคนจะสามารถหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย"
เธอนั่งมองโดยช่วยอะไรไม่ได้จากอีกฝั่งของแม่น้ำขณะที่ "อาคารแต่ละหลังถูกไฟเข้าเผาพลาญ" และเฮลิคอปเตอร์ที่เทน้ำลงพยายามดับไฟ
เธอบอกว่าสิ่งที่แย่ที่สุดคือการไม่มีช่องทางติดต่อสื่อสาร ทำให้ไม่สามารถหาคำตอบอะไรได้ ไม่รู้ว่าทุกคนรอดชีวิตออกมาได้หรือเปล่า
ขณะเดียวกันคนที่อาศัยอยู่ที่อื่นในรัฐบริติชโคลัมเบียก็เฝ้ารอข่าวอย่างใจจดใจจ่อว่าญาติพี่น้องตัวเองจะปลอดภัยดีหรือเปล่า
เวอร์นา มิลเลอร์ ได้ยินเรื่องเหตุไฟไหม้จากสามีเธอซึ่งเห็นข่าวจากโทรทัศน์อีกที
คู่สามีภรรยาคู่นี้เจอกันที่ลิตตัน และพี่สาวของเธอก็ยังอาศัยอยู่ที่นี่ ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ห่างไป 30 นาที ขับรถมาเพื่อจะมาพาพี่สาวของมิลเลอร์ออกจากพื้นที่แต่ไม่รู้เลยว่าไฟกำลังลุกไหม้ทั่วหมู่บ้านแล้ว
"ลูกพี่ลูกน้องบอกกับพี่สาวฉันว่า 'รีบเก็บของเร็ว เราไม่มีเวลาแล้ว' และพี่สาวฉันตอบไปว่า 'ฉันต้องหารองเท้าฉันก่อน'..."
ในที่สุดพวกเขาก็หนีออกมาได้ก่อนที่บ้านและข้าวของทั้งหมดที่สะสมมาทั้งชีวิตจะถูกไฟไหม้หมด
หลังจากยืนรออยู่หลายชั่วโมงที่ริมทางหลวง บาร์เบอร์และเพื่อน ๆ กลับไปที่บ้านของเพื่อนคนหนึ่งที่รอดจากไฟไหม้ และก็อยู่ที่นั่นอีก 2-3 วัน
พวกเขาไม่มีน้ำหรือไฟฟ้า ต้องทำอาหารโดยใช้เตาแก๊ส
"ฉันยังดื้อรั้น ฉันเอาแต่บอกเจ้าหน้าที่ว่า คุณเอาแมวฉันมาให้ฉันแล้วจะยอมไปจากที่นี่ เพื่อน ๆ ไม่อยากจะบอกฉันว่าบ้านฉันโดนไฟไหม้หมดแล้วและแมวฉันก็อยู่ในนั้นด้วย"
แบรด วิส สมาชิกสภาท้องถิ่นบอกว่า เวลาผ่านไปแค่ 15 นาทีเท่านั้น ไฟก็ลุกไหม้ทั้งหมู่บ้าน โดยรวมแล้ว 90% ของหมู่บ้านและพื้นที่สงวนหลายแห่งโดยรอบถูกไฟเผาไหม้ทั้งหมด
มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่อายุ 60 กว่าปีเสียชีวิตในกองเพลิง
แบรด วิส บอกว่านี่เป็น "สถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" แม้ว่าแคนาดาจะเจอกับไฟป่าเป็นปกติก็ตาม
"เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ต้องรับมือกับไฟป่าบางคนบอกว่าพวกเขาไม่เคยเห็นทั้งชุมชนถูกไฟป่าโหมทำลายจนสิ้นซากแบบที่ลิตตันเจอ"
อุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ในแคนาดาและหายนะที่เกิดขึ้นที่ลิตตันได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงสำคัญก่อนการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 20 ก.ย. นี้
ขณะที่การสืบสวนถึงสาเหตุที่แท้จริงของเหตุในครั้งนี้ยังดำเนินต่อไป สำหรับคนหลายคน ลิตตันได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความเสี่ยงจากการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ
"ราคาที่ต้องจ่ายของการไม่ลงมือจัดการ [เรื่องสภาพภูมิอากาศ] คือทั้งเมืองลิตตันที่ถูกไฟป่าทำลายจนสิ้นซากไปหมด" จักมีต ซิงห์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ กล่าวระหว่างการโต้วาทีระดับประเทศ
คลื่นความร้อนเกิดขึ้นบ่อยและรุนแรงขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มาจากการกระทำของมนุษย์ และอากาศที่ร้อนและแห้งก็น่าจะยิ่งเป็นเชื้อเพลิงให้กับไฟป่า
อุณหภูมิโลกสูงเพิ่มขึ้นมาราว 1.2 องศาเซลเซียสตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น และอุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ หากรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ไม่บังคับใช้นโยบายลดการปล่อยคาร์บอนให้น้อยลงกว่าเดิมมาก
คนในชุมชนลิตตันที่ตอนนี้ต้องกระจัดกระจายกำลังมองหาวิธีที่จะฟื้นฟูหมู่บ้านขึ้นมาใหม่ วางแนวทางให้หมู่บ้านปลอดภัยจากไฟป่าและภัยธรรมชาติได้ดีขึ้น และก็พึ่งแหล่งพลังงานจากโลกภายนอกให้น้อยลง
"นี่เป็นโอกาสที่จะสร้างชุมชนที่มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคต จัดการกับปัญหาสภาพอากาศสุดขั้ว ทำงานประสานงานกับประชาชนทั่วไปและสมาชิกชนเผ่าพื้นเมือง" นี แมคเคนน์ กล่าว
"เราต้องใช้ความพยายามครั้งใหญ่และจะมีอุปสรรคที่ต้องเอาชนะ แต่ถ้าทำทีละก้าว วันแล้ววันเล่า เราจะได้กลับมาเฉลิมฉลองชุมชนเราอีกครั้ง"
ตอนนี้ บาร์เบอร์อาศัยอยู่ในรถตู้ของเธอ เธอสามารถไปกู้ของบางชิ้นมาจากซากเผาไหม้ได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้น กล่องเครื่องประดับ และรถลากคันเล็ก แต่ของอย่างอื่นถูกไฟไหม้หมด
"ของที่ระลึกทุกอย่างของลูกชายที่เสียชีวิตไปที่ฉันเก็บรักษามา ผ้านวมที่ฉันรักที่แม่เป็นคนเย็บ งานศิลปะที่ฉันทำเองและที่คนอื่นทำซึ่งฉันเก็บรักษามาเป็นอย่างดีมาหลายปี ของพวกนั้นหายไปหมดแล้ว และไม่มีอะไรมาแทนที่ได้"
แต่แม้จะมี "ความเศร้าทับถม" เธอบอกว่าเธอและคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านกำลังมุ่งความสนใจไปที่อนาคต
"'ลิตตันที่แข็งแกร่ง' คือคำขวัญของเราและคนทุกคนกำลังมองไปเบื้องหน้า"