รีเซต

30 ปีไทยไม่ไปไหน? ติดหล่มรายได้-การเมืองวุ่น โอกาสยังมี หากรัฐ–เอกชนเดินหน้าร่วมกัน

30 ปีไทยไม่ไปไหน? ติดหล่มรายได้-การเมืองวุ่น โอกาสยังมี หากรัฐ–เอกชนเดินหน้าร่วมกัน
TNN ช่อง16
8 กันยายน 2568 ( 13:54 )
20

งานสัมมนา “Transforming Thailand ปรับโฉมไทย สู่อนาคตและความยั่งยืน” จัดขึ้นโดย TNN ช่อง 16 ในโอกาสครบรอบ 18 ปี ระหว่างวันที่ 8–9 กันยายน 2568 ณ อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค กรุงเทพฯ การจัดงานครั้งนี้มุ่งสร้างพื้นที่กลางให้ภาครัฐ ภาคเอกชน ตลาดทุน และนักลงทุน ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองว่าประเทศไทยควรเดินหน้าอย่างไรท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

ภายในงานมีทั้ง 15 วงเสวนา และ 2 เวทีหลัก ได้แก่ Main Stage ที่นำเสนอนโยบายระดับชาติ และ TNN Originals Stage ที่เจาะลึกประเด็นสำคัญอย่าง World, Wealth, Health, Tech และ Earth โดยหัวข้อ “ปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจไทย” ถือเป็นช่วงสำคัญที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากสะท้อนโจทย์ร่วมที่ประเทศกำลังเผชิญ

30 ปีไทยไม่ก้าวพ้นประเทศรายได้ปานกลาง

คุณวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในเวทีเสวนาว่า ปัญหาของเศรษฐกิจไทยไม่ได้จำกัดเพียงความไม่แน่นอนทางการเมืองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการขาดเทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตลอดกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงอยู่ในสถานะประเทศรายได้ปานกลาง ขณะที่สิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ต่างก้าวสู่ประเทศรายได้สูงแล้ว แม้ไทยยังคง “อยู่รอด” แต่หลายประเทศที่เคยล้าหลังกลับแซงหน้าไปไกล

ปลัดกระทรวงพาณิชย์อธิบายว่า การพัฒนาที่ไม่ก้าวทันเกิดจากการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ยังไม่เพียงพอ รวมถึงการขาดทรัพย์สินทางปัญญา (IP) และการต่อยอดมูลค่าสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ยังขายได้ในราคาต่ำเพียงกิโลกรัมละไม่ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งที่สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีราคาสูงขึ้นหลายร้อยเท่าหากมีนวัตกรรมและการบริหารจัดการที่เหมาะสม

ประเทศไทยไม่ควรถูกมองเพียงว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมที่จำกัดอยู่ในกรอบรายได้ปานกลาง เพราะเกษตรกรสามารถยกระดับได้ หากมีการเพิ่มมูลค่าและสร้างนวัตกรรมต่อยอดผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังเสนอว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเอง แต่ควรเลือกบทบาทในห่วงโซ่คุณค่าโลก (Global Value Chain) ที่เหมาะสม เพื่อสร้างจุดแข็งและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ยังระบุว่า ภาคราชการควรฟังเสียงของนักธุรกิจมากขึ้น แทนที่จะดำเนินนโยบายตามสิ่งที่คิดเอง เพราะที่ผ่านมาเกิด “อนุสาวรีย์” โครงการจำนวนมากที่ไม่ตอบโจทย์จริง พร้อมทั้งมองว่าสถานการณ์การขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาอาจกลายเป็นแรงกดดันเชิงบวก ที่จะผลักดันให้ไทยเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก


ตลาดทุนไทยเผชิญโจทย์ใหญ่ 'อัสสเดช' ชี้ต้องดันนวัตกรรมและอุตสาหกรรมอนาคต

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุบนเวทีเสวนาว่า ตลาดทุนไทยกำลังเผชิญความท้าทายสำคัญว่าจะสามารถพัฒนาเป็นกลไกสร้างธุรกิจใหม่และอุตสาหกรรมอนาคตได้จริงหรือไม่ พร้อมยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาที่ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา รายชื่อบริษัทชั้นนำเปลี่ยนไปกว่า 80–90% จากเดิมที่เป็นธุรกิจดั้งเดิม กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทย

ข้อมูลเชิงเปรียบเทียบชี้ให้เห็นว่า เมื่อสองทศวรรษก่อน สัดส่วนการลงทุนรวมของไทยทั้งจากภาครัฐและเอกชนเคยสูงถึง 40% ของ GDP แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงประมาณ 20% สถานการณ์นี้สะท้อนการชะลอตัวที่น่ากังวล จึงจำเป็นต้องเร่งมาตรการกระตุ้นเพื่อฟื้นฟูการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพแข่งขันในระดับโลก

เวทีเดียวกันยังมีการเปิดเผยผลจากการจัดงาน “Thailand Forum” เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งได้รับเสียงสะท้อนจากนักลงทุนต่างชาติและกองทุนรายใหญ่ที่คาดหวังให้ประเทศไทยเดินหน้าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง พร้อมสร้างโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ไม่ใช่เพียงการพึ่งพาธุรกิจเดิมที่อาจไม่ตอบโจทย์อนาคต

แม้ตลาดทุนไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่หากนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนสามารถเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ความมั่นใจจากทั้งในและต่างประเทศก็จะกลับมา และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพของประเทศได้ในที่สุด

BOI ดันลงทุนครึ่งปีทะลุ 1 ล้านล้านบาท

คุณสุธาสินี สมิตร ที่ปรึกษาด้านการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า ศักยภาพของประเทศไทยยังคงสูงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้ง บุคลากร หรือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล แต่หากต้องการก้าวขึ้นไปอีกขั้น ประเทศจำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะดึงดูดการลงทุนระยะยาว

BOI ทำงานประสานกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเจรจาการค้าและข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ประเด็น Local Content และ Regional Value Content ที่ส่งผลโดยตรงต่อห่วงโซ่อุปทานของผู้ประกอบการไทย ขณะเดียวกันตลาดทุนก็เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมายให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนควบคู่ไปกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ BOI มอบให้

สุธาสินีกล่าวต่อว่า แนวโน้มการลงทุนในครึ่งปีแรกของปี 2568 มียอดอนุมัติสูงเกิน 1 ล้านล้านบาทแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม จุดท้าทายสำคัญคือการทำให้การลงทุนเหล่านี้ถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการในประเทศ เพื่อยกระดับซัพพลายเชนให้เข้มแข็งและแข่งขันได้ในตลาดโลก

ในระยะยาว BOI มุ่งเน้นให้มาตรการสนับสนุนการลงทุนไม่ใช่เพียงการลดหย่อนภาษี แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจร ตั้งแต่การใช้พลังงานที่ยั่งยืน การพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะ ไปจนถึงการยกระดับทักษะแรงงานไทย พร้อมย้ำว่า การลงทุนด้านองค์ความรู้ นวัตกรรม และทุนมนุษย์คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไทยก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางและกลายเป็นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในอนาคต

การเมืองไม่ต่อเนื่องคืออุปสรรคใหญ่

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยติดล็อกทางการเมืองและการปกครองมานานกว่า 20 ปี ปัญหาความไม่ต่อเนื่องของนโยบายและความขัดแย้งที่ยืดเยื้อทำให้ประเทศไม่สามารถสร้าง National Agenda ที่รัฐบาลทุกชุดต้องสานต่อได้ ส่งผลให้การพัฒนาพื้นฐานเศรษฐกิจและการลงทุนไม่เดินหน้าอย่างที่ควรจะเป็น

ดร.พจน์ย้ำว่า แม้ภาคเอกชนไทยมีความสามารถและพร้อมจะลงทุน แต่ข้อจำกัดด้านกฎหมายและการบริหารจัดการที่ต้องพึ่งพาภาครัฐทำให้ไม่สามารถขับเคลื่อนได้เต็มที่ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ภาคเอกชนเพียงลำพังไม่สามารถดำเนินการได้ หากไม่มีความต่อเนื่องจากรัฐบาล การเติบโตของเศรษฐกิจก็จะสะดุดอยู่เช่นเดิม

ในมุมมองของหอการค้าไทย เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องมีแผนแม่บทแห่งชาติที่ชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุน เพราะแม้เอกชนยังคงพยายามลงทุนและเดินหน้าต่อ แต่หากขาดแรงสนับสนุนจากนโยบายที่ต่อเนื่อง เศรษฐกิจย่อมไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ

นอกจากนี้ ดร.พจน์ยังเปิดเผยถึงการทำงานร่วมกับรัฐบาล โดยเฉพาะรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งต้องทำงานอย่างหนักในช่วงเวลาที่ต่างกันกว่า 12 ชั่วโมง เพื่อเจรจาประเด็นที่กระทบโดยตรงต่อเกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมไทย พร้อมยืนยันว่าการเปิดตลาดกับสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นการเปิดทั้งหมด แต่เป็นการเจรจาอย่างมีเงื่อนไข โดยพิจารณาผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก

ดร.พจน์ทิ้งท้ายว่า หากไทยยังไม่สามารถสร้างความต่อเนื่องทางนโยบายและกำหนดวาระแห่งชาติที่ชัดเจน เศรษฐกิจไทยก็จะยังติดอยู่กับกับดักเดิมต่อไป ไม่ต่างจากที่เกิดขึ้นตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา

งานสัมมนา “Transforming Thailand” ชี้ชัดว่าการปลดล็อกศักยภาพเศรษฐกิจไทยต้องอาศัยความต่อเนื่องของนโยบายจากภาครัฐ การลงทุนใน R&D และนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการเสริมบทบาทตลาดทุนและมาตรการส่งเสริมการลงทุนในการผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ ทั้งหมดนี้คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ไทยก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางและสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง