รีเซต

สศช.เผยแนวโน้มบ้านถูกยึดพุ่ง ไตรมาสสองขยายตัว 210%

สศช.เผยแนวโน้มบ้านถูกยึดพุ่ง ไตรมาสสองขยายตัว 210%
ทันหุ้น
24 พฤศจิกายน 2568 ( 12:15 )

#ทันหุ้น สศช.เผยแนวโน้มบ้านถูกยึดพุ่ง ไตรมาสสองขยายตัว 210% คาดลงทุนผิดเวลาและแห่เก็งกำไร ห่วงน้ำท่วมดันหนี้พุ่ง ประเมินกระทบจีดีพี 0.1-0.16% ขณะที่ ระดับหนี้ครัวเรือนลดติดต่อกัน 6 ไตรมาสมาอยู่ที่ 86% ผลจากสินเชื่อหดตัว

นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)เปิดเผยว่า จากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์พบว่า ในไตรมาสที่สองของปี 2568 ที่อยู่อาศัยที่ถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาดมีจำนวนสูงถึง 6.76 หมื่นหน่วย เพิ่มขึ้น 210% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้สศช.มีความเป็นห่วงลูกหนี้สินเชื่อบ้าน หลังพบข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ สาเหตุที่บ้านถูกยึดเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่มีการกู้ยืมในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น และมีการลงทุนผิดเวลารวมถึง มีการเก็งกำไร

ทั้งนี้ จากการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า แม้ทรัพย์สินจะถูกขายทอดตลาดและยังอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินเพิ่มเติม แต่ 1 ใน 3 ของลูกหนี้ในคดียึดทรัพย์ยังต้องติดอยู่ในวงจรหนี้ จึงต้องเร่งดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี เพื่อลดผลกระทบจากการสูญเสียที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งก่อนหรือหลังการบังคับคดี

ขณะเดียวกัน สศช.ยังมองความเสี่ยงในการก่อหนี้ของครัวเรือนที่ประสบสถานการณ์น้ำท่วม โดยเฉพาะภาคเกษตร สิ่งที่ต้องดูแล คือ ต้องดูแลลูกหนี้บ้านก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี คือ อย่าให้ลูกหนี้ถูกยึดบ้าน ซึ่งกรมบังคับคดีพยายามดูแลในเรื่องนี้อยู่ และสองคือการส่งเสริมการเข้าถึงสินเชื่อของครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งที่ผ่านมาธกส.ได้ออกสินเชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวงเงิน 2 หมื่นล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินรายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ย 0%ใน 6 เดือนแรก และมีสินเชื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตวงเงิน วงเงินรายละไม่เกิน 5แสนบาท เป็นต้น

ทั้งนี้ สภาพัฒน์ได้คาดการณ์ผลกระทบจากน้ำท่วมในปีนี้ กรณีผลกระทบน้อยสุด มูลค่าความเสียหายราว 1.8 หมื่นล้านบาท กระทบจีดีพี 0.1% กรณีผลกระทบปานกลาง มูลค่าความเสียหาย 2.3 หมื่นล้านบาท หรือ 0.13% ต่อจีดีพี และ กรณีผลกระทบมากสุด มูลค่าความเสียหาย 2.9 หมื่นล้านบาท หรือ 0.16%

ส่วนสถานการณ์หนี้ครัวเรือนนั้น สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 โดยอยู่ที่ 86% ในไตรมาส 2 ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวก แต่หนี้ที่ลดลงส่วนสำคัญมาจากการหดตัวของสินเชื่อทุกตัว ยกเว้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังไม่ต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ที่เคยพุ่งไปอยู่ในระดับ 94-95% ต่อจีดีพี

“สินเชื่อเกือบทุกประเภทหดตัวลง ยกเว้นสินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัว 1.7% ส่วนหนึ่งมาจากการที่มีมาตรการต่างๆในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการผ่อนคลาย LTV มาตรการลดค่าจดจำนองและค่าโอนอสังหาริมทรัพย์  ขณะที่สินเชื่อยานยนต์ หดตัว 9.6% หดตัว สินเชื่อบัตรเครดิตหดตัว2.6% และสินเชื่อบุคคลภายใต้กำกับ หดตัว 0.2%”

ทั้งนี้ มาตรการของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างหนี้และการตัดหนี้ขายหนี้ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ถูกคาดหวังว่าจะช่วยลดภาระหนี้ได้ จะมีส่วนสำคัญที่จะเพิ่มศักยภาพให้สถาบันการเงินสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญสำหรับมาตรการนี้ คือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่มักมาเข้าร่วมมาตรการไม่ครบ หรือมาไม่ทัน ดังนั้น การสื่อสารไปยังประชาชนเพื่อกระตุ้นให้เข้าถึงมาตรการอย่างทันท่วงทีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

เธอกล่าวว่า สศช.เห็นด้วยกับแนวคิดการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือVAT เพื่อช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจาก ประเทศไทยกำลังเผชิญกับข้อจำกัดด้านหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดการณ์ว่า หนี้สาธารณะในปี 2568 จะอยู่ที่ 64.8% ของจีดีพีและจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอยู่ที่ 68.2 ของจีดีพีภายในปี 2573 ขณะที่ รายได้จาก VAT เป็นรายได้หลักของรัฐบาล หรือ 29.3% ของรายได้รวม หากมีการปรับขึ้น VAT ในอัตรา 1% จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มราว 9 หมื่นล้านบาท

“หากมีการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ขึ้น 1% จะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นราว 7 หมื่นล้านบาท หรืออาจถึง 9 หมื่นล้านบาท  ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่าย ในเรื่องเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ใช้ปีละ 9 หมื่นล้านบาท ,หรือโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปีละ 5หมื่นล้านบาท หรือโครงการให้เงินเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ปีละ 1.7 หมื่นล้านบาท”

อย่างไรก็ดี สำหรับการปรับขึ้น VAT จะต้องอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่การบริโภคฟื้นตัว ซึ่งยังไม่ใช่ในช่วงนี้ ขณะเดียวกัน จะต้องกำหนดเป้าที่ชัดเจนว่า รัฐบาลจะนำเงินที่ได้ไปทำอะไร เพื่อสร้างแรงจูงใจ และจะต้องทยอยปรับขึ้น นอกจากนี้ สิ่งสำคัญ คือ ต้องทำการประชาสัมพันธ์และให้เวลาในการปรับตัวประมาณ 1 ปี รวมถึง มาตรการที่ออกมารองรับผลกระทบโดยเฉพาะประชาชนในกลุ่มเปราะบาง

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาในประเทศต่างๆ พบว่า ในหลายประเทศกำหนดว่า รายได้จากการปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่บางประเทศเรียกว่าเป็น GSP tax จะนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปช่วยคนรายได้น้อย เช่น ในสิงคโปร์ที่นำเงินที่ได้ไปเพิ่มเป็นค่าสวัสดิการของประชาชน ในญี่ปุ่น นำไปให้กับคนรายได้น้อยในระบบบำนาญ และเพิ่มค่าจ้างให้กับคนที่ดูแลผู้สูงอายุ เป็นต้น

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง