รีเซต

ทุนจีนบุกไทย เปิดร้านชา-กาแฟพุ่งสูงสุด ตลาดพรีเมียมมาแรง เฉลี่ยแก้วละ 100 บาท

ทุนจีนบุกไทย เปิดร้านชา-กาแฟพุ่งสูงสุด ตลาดพรีเมียมมาแรง เฉลี่ยแก้วละ 100 บาท
TNN ช่อง16
24 ตุลาคม 2568 ( 08:00 )
15

คนไทยฮิตเปิดร้านชา-กาแฟ ทั่วประเทศเปิดพุ่ง 130,000 แห่ง กลุ่มพรีเมียม-สเปเชียลตี้มาแรง ขายเฉลี่ยแก้วละ 100 บาท


ร้านกาแฟในประเทศไทย ยังคงได้รับความนิยมทั้งในแง่ของคนซื้อและคนขาย เราคนไทยหาซื้อกาแฟหรือเครื่องดื่มได้ไม่ยาก ตั้งแต่ร้านรถเข็นไปถึงคาเฟหรู และแบรนด์ดังระดับโลก รวมไปถึงร้านเครื่องดื่มในกลุ่มชาก็เช่นกัน ที่มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งของคนไทย และเฟรนไชส์นำเข้า 


ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2568 จำนวนร้านเครื่องดื่มในประเทศไทย น่าพุ่งไปถึงประมาณ 3 ล้าน 1 แสนร้านค้า เพิ่มขึ้นมาประมาณ 4.8% จากปี 2567 ด้วยมูลค่ากว่า 56,900 ล้านบาท ที่สำคัญ คือ ปีนี้มีทุนต่างชาติบุกเข้าสู่ตลาดเครื่องดื่มไทยอย่างร้อนแรง เอาแค่ว่า หากเรานับจาก 9 เดือนแรกของปีนี้ที่ผ่านมา มีนักลงทุนต่างชาติหน้าใหม่เข้ามาแล้วมากกว่าปีก่อนถึง 9% โดยเฉพาะทุนจีน  


ปัจจุบันนี้ร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่ในไทยส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มของร้านกาแฟ คิดแล้วเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีรูปแบบร้านที่ให้บริการที่นั่งและร้านที่ลูกค้าสามารถซื้อกลับไปทาน (Takeaway) ซึ่งตอบโจทย์กับกระแสหรือเทรนด์ในตอนนี้ ที่คนไทยนิยมดื่มกาแฟกันมากขึ้น ตามไลฟ์สไตล์แบบคนยุคใหม่ 


รวมถึงอีกหนึ่งเทรนด์ที่น่าสนใจก็คือ นอกจากกาแฟแล้ว ยังมีกลุ่มของร้านเครื่องดื่มประเภทร้านชานมที่เติบโตเร่งขึ้นมาด้วยเช่นกัน  ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการบุกเข้ามาทำการตลาดของของผู้ประกอบการต่างชาติด้วยนั่นเอง  นอกจากนี้ที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน ก็คือกลุ่มของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ตอบโจทย์สายเฮลตี้ เช่น เครื่องดื่มน้ำผัก/ผลไม้สกัดเย็น และสมูทตี้ มีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งนับว่าเป็นเครื่องดื่มทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้นตามเทรนด์โลก 


ปัจจัยหนุนอีกประการคือการขยายตัวของพื้นที่ค้าปลีกทั่วประเทศ โดยเฉพาะศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ที่เปิดใหม่ ทำให้ผู้ประกอบการรายเดิมมีโอกาสเพิ่มสาขาและขยายแบรนด์ใหม่เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งในระดับพรีเมียมและแมส (Mass Market) ส่งผลให้ยอดขายรวมของระบบแฟรนไชส์ (Total System Sales Growth) เติบโตต่อเนื่อง


การที่ประเทศไทยยังคงมีร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถือเป็นเรื่องดี แต่ในขณะเดียวกันก็หนีไม่พ้นการแข่งขันที่สูงมากขึ้น และมีร้านเครื่องดื่มจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่สู้ไม่ไหว ถึงขั้นยอมแพ้ต้องปิดกิจการ ออกจากธุรกิจไป 


นายอนันตพร ลาภสักการ เจ้าหน้าที่วิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า การขยายตัวของจำนวนร้านเครื่องดื่ม มีปัจจัยสำคัญจาก 


1. ผู้ประกอบการรายเดิมมีการขยายสาขา การเพิ่มแบรนด์ใหม่ในพอร์ต เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าและระดับราคา ทั้งในระดับพรีเมียมและแมส (Mass Market)  ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายรวม Total System Sales Growth (TSSG) และส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของพื้นที่ค้าปลีกทั่วประเทศ โดยเฉพาะศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ที่เปิดใหม่ มีพื้นที่พาณิชยกรรม (Retail space) เปิดใหม่เพิ่มขึ้น 


2. ผู้ประกอบการรายใหม่สนใจเข้ามาลงทุนในตลาดเครื่องดื่ม โดยนำเสนอความแปลกใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มตลาดเฉพาะ (Niche market) เช่น เครื่องดื่มสุขภาพพรีเมียม


3. ผู้ประกอบการต่างชาติสนใจลงทุนในไทย เห็นได้ว่า แบรนด์เครื่องดื่มจากต่างประเทศเข้ามาเปิดสาขาและขยายแฟรนไชส์ในตลาดไทยมากขึ้น อาทิ กลุ่มชาผลไม้ ชานมไข่มุกและเครื่องดื่มน้ำปั่นผลไม้ (สมูทตี้)


ข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าทุนจดทะเบียนใหม่จากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น 9% จากมูลค่าทุนจดทะเบียนสะสม ณ สิ้นปี 2567 โดยมูลค่าการลงทุน ณ 2 ตุลาคม 2568 ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน รองลงมาเป็นนักลงทุนจากเกาหลีใต้ อังกฤษ ฮ่องกง และไต้หวัน 




ร้านกาแฟในไทย ไม่ใช่แค่จำนวนมากขึ้น แต่ราคายังแพงขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย เฉลี่ย 9% 


ราคาเครื่องดื่มในประเทศไทยที่เราซื้อทุกวันนี้แพงขึ้นเฉลี่ยประมาณ 9% จากปีก่อน จากต้นทุนการทำธุรกิจที่ปรับตัวสูงขึ้น อาทิ ค่าเช่า และต้นทุนวัตถุดิบหลักอย่างเมล็ดกาแฟ โกโก้รวมถึงชาเขียว ซึ่งยังมีราคาที่ผันผวนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา 


และในขณะเดียวกันวันนี้ เราจะเห็นได้ว่ามีร้านเครื่องดื่มใหม่ๆ ในกลุ่มพรีเมียมมากขึ้น ขายความเป็นสเปเชียลตี้ และวางทาเก็ตตัวเองไว้ที่ลูกค้าระดับบน ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทระบุว่า ร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่กลุ่มนี้มีการตั้งราคาขายเครื่องดื่มเฉลี่ยต่อแก้วสูงกว่า 100 บาท


นอกจากนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ยังมองว่าร้านเครื่องดื่มและคาเฟ่ เป็นสถานที่ที่สร้างประสบการณ์ เป็นได้ทั้งจุดนัดพบสังสรรค์ เช็คอิน และสร้างคอนเทนต์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ รวมไปถึงกระแสการลองของใหม่ๆ ตามเทรนด์ 


และแน่นอนว่าเมื่อร้านมากขึ้น การเติบโตหรือยอดขายก็ต้องไม่เท่ากัน คู่แข่งออกมาอย่างต่อเนื่อง และมีร้านแปลกๆใหม่ๆ ออกมาไม่ขาดสาย ทำให้ร้านที่เคยขายดีอาจถูกแย่งลูกค้าไป โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปี หน้า (2569) มูลค่าตลาดของธุรกิจร้านเครื่องดื่มน่าจะยังเติบโตในระดับที่ชะลอลง คือโตเพียงแค่ประมาณ 2% เท่านั้นจากปี 2568 ซึ่งถือว่าน่าตกใจ หากเราเทียบกับเมื่อปี 2566 ที่ตลาดโตแรงพุ่งไปถึง 20 % 


สาเหตุสำคัญ เป็นเพราะว่าปีหน้าอนาคตอันใกล้นี้มีหลายปัจจัยท้าทายที่รออยู่  โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ จากการหดตัวของกำลังซื้อ  รวมไปถึงการแข่งขันในธุรกิจร้านเครื่องดื่มที่สูงขึ้นในทุกระดับราคาและเซกเมนต์


เริ่มตั้งแต่กลุ่มพรีเมียม ที่กำลังมาแรงมีผู้เล่นรายใหม่ๆ เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง ท่ามกลางจำนวนลูกค้าที่ค่อนข้างจำกัด


ขณะที่ร้านเครื่องดื่มกลุ่ม Mass ที่มีราคาเครื่องดื่มเฉลี่ย 60 บาทต่อแก้ว แม้จะเป็นระดับราคาที่จับต้องได้ และครองสัดส่วนการตลาดเกือบทั้งหมด แต่ว่าในขณะเดียวกัน พอมีคนขายเยอะมาก และการตลาดที่รุนแรงมาก บางรายสามารถหาซื้อได้ง่าย ทั้งในร้านสะดวกซื้อ/ซูเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงตู้กดเครื่องดื่มอัตโนมัติ ทำให้ผู้ประกอบต้องมีความตื่นตัวอยู่เสมอ จำเป็นต้องหาความแปลกใหม่เพื่อลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าประจำ


อีกกลุ่มที่น่าสนใจ ก็คือ ร้านเครื่องดื่มในพื้นที่ท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีต้นทุนการตกแต่งร้านที่สูงเพื่อดึงดูดใจ และบางรายจะมีค่าเช่าพื้นที่สูงด้วย แต่ว่าสำหรับคนไทยแล้ว มักจะนิยมเปลี่ยนร้านใหม่ๆ เช็คอินร้านใหม่ๆ  ตามที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ไปเรื่อยๆด้วยเช่นกัน  รวมไปถึงการท่องเที่ยวไทย ยังคงเน้นเที่ยวตามฤดูกาลหรือช่วงเวลาเป็นหลัก อาจจะไม่ช่วยสร้างรายได้ที่แน่นอนมั่นคคงได้ มีความผันผวนสูงในการบริหารจัดการ 


ที่สำคัญที่สุด ที่ต้องย้ำกันอีกหนึ่งประเด็น คือ ต้นทุนธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่การแข่งขันสูงทำให้ผู้ประกอบการมีข้อจำกัดในการปรับราคาและกดดันกำไรสุทธิ แม้ว่าร้านเครื่องดื่มส่วนใหญ่จะมีกำไรขั้นต้นมากกว่าครึ่งของราคาขาย แต่ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะกาแฟที่ราคาพุ่งอย่างต่อเนื่องในตลาดโลก จากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน 


ยังไม่นับรวมถึงความเสี่ยงจากต้นทุนด้านค่าเช่าที่ ค่าแรง ค่าสาธารณูปโภค ที่ยังคงพุ่งขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดนี้จะมากดดันความสามารถในการทำกำไร โดยเฉพาะในกลุ่มร้านระดับพรีเมียมที่มีคุณภาพสินค้าและบริการสูง จะมีผลทำให้อัตรากำไรสุทธิของบางร้านอาจลดลง และอาจจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่ประมาณ 15% ได้ 


รวมไปถึงเรื่องของกระแสหรือเทรนด์ผู้บริโภคในยุคนี้ที่เปลี่ยนไปไว รวดเร็ว เพียงแค่ชั่วข้ามคืน บางร้านขายดีในช่วงแรก แต่ก็เงียบเหงาในภายหลัง ร้านเลียนแบบหรือร้านที่คล้ายๆกันก็มีอยู่มากมาย คนทำธุรกิจจึงคาดเดาได้ยาก ขณะที่ลูกค้ายุคนี้มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำ ท่ามกลางทางเลือกที่ล้นตลาด หลากหลายระดับราคา


ร้านน้ำทะลักเมือง จะชาหรือกาแฟ คนซื้ออย่างเราเลือกได้เต็มที่ แต่สำหรับคนขาย โจทย์ใหญ่ คือ “ใครอยู่รอด”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง