ลุ้นหุ้นไทยไปต่อ ! หวังรัฐอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตัวไหนน่าเก็งกำไร เช็กเลย?

ตลาดหุ้นไทยช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาดีดปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค หลังดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไปหรือ PCE ทั่วไป และดัชนี Core PCE พื้นฐานของสหรัฐฯ ออกมาสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ ประกอบกับภาครัฐเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยครม. นัดแรกอนุมัติงบฯ 22,780 ล้านบาท ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.4 ล้านคน ในช่วงระยะเวลา 2 เดือน หนุนดัชนีบวกเขียวสดใส แต่ระหว่างกลางสัปดาห์ดัชนีย่อตัวลง ตามแรงขายหุ้นบิ๊กแคป นำโดย หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากปัจจัยเฉพาะตัว
ขณะเดียวกันสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิทช์เรตติ้ง ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตสากลระยะยาว (InternationalLong-Term Issuer Default Rating: IDR) ของ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือปตท. และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. เป็นลบ จากเดิมแนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ และคงอันดับเครดิตไว้ที่ BBB+ ประกอบกับสหรัฐเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์เป็นปัจจัยถ่วงหุ้นไทย แต่ท้ายสัปดาห์ดัชนีสามารถพลิกปิดบวกได้ ตลาดคาดหวังธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ลดดอกเบี้ยในปลายเดือนต.ค.นี้ หลังตัวเลขการจ้าง งานภาคเอกชนเดือนก.ย. ของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด
สำหรับแนวโน้มทิศทางหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร การชัตดาวน์ของสหรัฐฯ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากน้อยแค่ไหน ถ้ายืดเยื้อมีโอกาสกระทบเศรษฐกิจโลกหรือไม่ จับตาไฮไลท์สำคัญการประชุมกนง.มีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่ ปัจจัยบวกลบที่ต้องติดตามสัปดาห์หน้ามีอะไรที่สำคัญบ้างนั้น ในวันนี้ TNN Online ได้สัมภาษณ์กูรูตลาดทุนตามไปดูรายละเอียดกันเลย
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมากองทุน ETF ทั่วโลกเข้าซื้อหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลกประมาณ 1.93 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากเดือนพ.ย. 67 อยู่ที่ 2.09 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และเดือนธ.ค. 67 อยู่ที่ 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนสภาพคล่องส่วนเกินในตลาดที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่เม็ดเงินไหลเข้าซื้อทองคำประมาณ 1.58 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเห็นภาพว่าเม็ดเงินเริ่มกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ เพิ่ม จากทิศทางดอกเบี้ยโลกเข้าสู่ขาลง ตามภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของแต่ละประเทศ
กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (29 ก.ย.-2 ต.ค.) SET Index ขึ้น 11.7 จุด โดยส่วนใหญ่เป็นการขึ้นของหุ้น Free Float ต่ำ < 40% ดันตลาดขึ้น 17.50 จุด ส่วนหุ้น Free Float สูง > 40% กดตลาดลง 5.80 จุด สะท้อนว่าสภาพคล่องที่ล้นระบบ มักจะส่งผลให้หุ้น Free Float ต่ำขึ้นร้อนแรง เช่น DELTA ขึ้น 9.5% ดัน SET 16.10 จุด AOT ขึ้น 6.4% ดัน SET ขึ้น 3 จุด TRUE ขึ้น 3.8% ดัน SET ขึ้น 1 จุด
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นรับประโยชน์จากสภาพคล่องล้นระบบ เก็งกำไร DELTA ซึ่งเป็นหุ้นที่ Free Float ต่ำ 23% BA เป็นหุ้นที่ PE ต่ำ Dividend Yield สูง 8% ต่อปี AOT ราคาเป้าหมาย 41 บาท และTRUE ราคาเป้าหมาย 15.20 บาท
ทั้งนี้แม้ว่าวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ SHUTDOWN ครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี ภายใต้ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” หลังสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการขยายเวลาการจัดสรรงบประมาณได้ โดยคะแนนในวุฒิสภาอยู่ที่ 55 : 45 (ต้องผ่านอย่างน้อย 60 เสียง)ซึ่งประเด็น หลักของความขัดแย้งทางการเมือง จากเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในปี 61 สหรัฐฯ ชัตดาวน์ 34 วันหุ้นสหรัฐฯดีดปรับตัวขึ้น 10.3% แต่สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประมาณ 11 พันล้านดอลลาร์และไม่สามารถฟื้นกลับมาได้ 3 พันล้านดอลลาร์ โดยการชัตดาวน์ครั้งนี้จะนานหรือไม่เป็นเรื่องที่ติดตามใกล้ชิด เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่สามารถประกาศออกมาได้ เนื่องจากพนักงานหยุดทำงาน
อย่างไรก็ตาม “ทรัมป์” เสนอว่าอาจมีการปลดพนักงานถาวร เพิ่มเติมจากการพักงานชั่วคราวของพนักงาน 750,000 คน ซึ่ง BLOOMBERG ประเมินว่าหาก SHUTDOWN ยาวถึง 3 สัปดาห์ อาจทำให้อัตราว่างงานพุ่งขึ้นเป็น 4.6%–4.7% (ปัจจุบัน 4.3%) ซึ่งหากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวอาจจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดปรับลดดอกเบี้ยลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ 2 ครั้งคือในเดือนต.ค. และธ.ค.นี้ ขณะเดียวกันต้องดูข้อมูล Fed Minute ว่า นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดมีมุมมองต่อทิศทางดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอนาคต
นอกจากนี้รัฐบาลดึงความเชื่อมั่นได้ไม่น้อย หลังจาก “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ" รองนายกรัฐมนตรีและและรมว.คลัง ชี้แจงนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วน กู้เศรษฐกิจชะลอติดหล่ม ตั้งเป้าเห็นผล 4 เดือน ยึด หลัก "กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว" ดัน GDP 4Q68 โตเกิน 0.3%YOY ซึ่งหมายความว่า GDP ในปีนี้มีโอกาส โตเกิน 2.2%YOY จาก 5 เสาหลักนโยบาย ดังนี้ 1.กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เร่งโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย ,ขยายสิทธิ์ บัตร สวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยผู้มีรายได้น้อย , ส่งเสริมการท่องเที่ยว เมืองรอง เพื่อลดความกระจุกตัว, เร่ง ขยาย ตลาดส่งออก หาตลาดใหม่
2. ลดภาระหนี้ประชาชน จัดตั้ง บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อจัดการหนี้เสีย (NPL) และเน้นลดหนี้ครัวเรือน ที่กดดันกำลังซื้อ 3. เพิ่มสภาพคล่องให้ SME จัดมาตรการ สินเชื่อ-เงินทุนหมุนเวียน และลดภาระต้นทุนทางการเงิน 4. เพิ่มออมประชาชน ส่งเสริม กองทุนออมระยะยาว/กองทุนบำนาญ 5. ลงทุนเพื่ออนาคต เร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน, พัฒนา ดิจิทัล-พลังงานใหม่-อุตสาหกรรมอนาคต และดึง การลงทุนจากต่างประเทศ (FDI)
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า คาดว่าดัชนีแกว่งไซด์เวย์อัพ ประเมินกรอบดัชนีแนวรับ 1,280 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,260 จุด แนวต้านแรกที่ 1,310 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,330 จุด
ประเด็นที่ต้องติดตาม
- วันที่ 6 ต.ค. เงินเฟ้อทั่วไปไทยประจำเดือน ก.ย.68 ที่ BLOOMBERG คาด -0.60%YOY(อาจติด ลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6) ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐาน(CORE CPI) คาดอยู่ที่ +0.73%YOY ลดลงจากเดือนก่อนหน้า +0.81%YOY จากหลายปัจจัย อาทิ ราคาน้ำมันและพลังงานโลกปรับตัวลดลง, อุปสงค์ในประเทศอ่อนแอ และแรง กดดันจากการนำเข้าสินค้าราคาถูกทดแทนตลาดภายในประเทศ เป็นต้น
- วันที่ 7 ต.ค. คลังเสนอมาตรการคนละครึ่งพลัสเข้าครม. หุ้นได้รับผลบวกจากนโยบายรัฐ เช่น CPALL ราคาเป้าหมาย 66.50 บาท CPAXT ราคาเป้าหมาย 23.90 บาท
- วันที่ 8 ต.ค. ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง. โดยตลาดคาดการณ์ว่าลดดอกเบี้ยลง 0.25% เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรหรือบอนด์ยีลด์ 10 ปีของไทยอยู่ที่ 1.4% ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เช่น MTC ราคาเป้าหมาย 45 บาท ซึ่งในอดีตถ้าลดดอกเบี้ยลง 0.25% มีโอกาสหนุน P/E ตลาดขึ้น 0.67 เท่า หรือหนุนดัชนีขึ้นราว 57 จุดได้
ฝั่ง“ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์" AISA, CFTe ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี มองว่า SET Index ช่วง 1-30 ก.ย. ที่ผ่านมา ปิดที่ 1,274 จุด ปรับตัวขึ้น 3.1% จาก 1,236 จุด ณ สิ้นเดือน ส.ค. เป็นการเพิ่มขึ้นโดดเด่นกว่าประเทศในฝั่งเอเซีย ที่ปรับขึ้นเฉลี่ย 0.8% (ฟิลิปปินส์ -3.3%, เวียดนาม -1.2%, อินโดนีเซีย +2.9%) โดยเดือน ก.ย.ต่างชาติ ขายหุ้นไทย 257 ล้านเหรียญสหรัฐ เช่นเดียวกับ อินโดนีเซียขายสุทธิ 235 ล้านเหรียญ สวนทางกับฟิลิปปินส์ +46 ล้านเหรียญ
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าคาดว่าแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ ประเมินแนวรับแรกที่ 1,282 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,270 จุด แนวต้านแรกที่ 1,309 จุด แนวต้านถัดไปที่ 1,318 จุด โดยปัจจัยหลักที่ต้องติดตามคือการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือกนง. วันที่ 8 ต.ค. มีโอกาสลดดอกเบี้ย อิง Bloomberg Consensus นักเศรษฐศาสตร์ 6 ใน 8 คน หรือ 80% คาดลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% สอดคล้อง KSS คาด มีโอกาสสูงประมาณ 70%จะลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% แรงหนุนจากเงินเฟ้อไทยยังต่ำ โดยเงินเฟ้อทั่วไปไทย ส.ค.ที่ผ่านมา -0.79%y-y ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไทย (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย – เงินเฟ้อ) เป็นบวกติดต่อกัน 28 เดือนติด หนุนโอกาสไทยลดดอกเบี้ย โดย ดอกเบี้ยที่ลดลงทุกๆ 0.25% จะบวกต่อ SET ประมาณ 50-55 จุด แนะนำสะสมหุ้นในธีมดอกเบี้ยขาลง เก็งกำไรก่อนการประชุม กนง. วันพุธหน้า เน้น กลุ่มการเงิน, กลุ่มหนี้สูง , กลุ่มโรงไฟฟ้า โดยตามสถิติในอดีต หากมีการลดดอกเบี้ยในการประชุม ตลาดหุ้นมีโอกาสตอบรับทางบวก
ทั้งนี้หลังรัฐแถลงนโยบายเศรษฐกิจต่อสภาฯ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส คาดเริ่มช่วงปลายเดือน ต.ค. คาดเม็ดเงินประมาณ 2.5-5 หมื่นล้านบาท (0.15-0.3% ของ GDP) เป็น Upside เชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยช่วง 4Q25 แนะนำติดตามมาตรการอื่นๆ ที่จะออกมาเพิ่มเติม ประเมินเม็ดเงินทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท หนุน GDP ประมาณ 0.06%
ปัจจัยบวกลบที่ต้องติดตามสัปดาห์หน้า
- 4 ต.ค. ติดตามการเลือกหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) คนใหม่ ของประเทศญี่ปุ่น โดยผู้สมัครที่มีโอกาสได้รับการรับเลือกมากที่สุดได้แก่คุณ Shinjiro Koizumi และคุณ Sanae Takaichi
- 6 ต.ค. เงินเฟ้อ CPI ก.ย. ของไทย ตลาดคาด -0.6%y-y, +0.07%m-m จากเดิมอยู่ที่ -0.79%y-y, -0.01%m-m เงินเฟ้อพื้นฐาน ก.ย. ตลาดคาด +0.75%y-y จากเดิมอยู่ที่ +0.81%y-y
- 6 - 10 ต.ค. ติดตามความพยายามในการผ่านร่างงบประมาณประจำปี หรืองบประมาณชั่วคราว (Continuing Resolution) ของสภาสหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหา Government Shutdown ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา
- 7 ต.ค. ประชุม ครม. ติดตามการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อิงแนวนโยบาย Quick Win คาดเน้นที่การบริโภค ท่องเที่ยว แก้หนี้ เร่งลงทุนรัฐฯ+เอกชน
- 8 ต.ค. ติดตามการประชุม กนง. เราและตลาดคาด กนง. ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง -25 bps สู่ระดับ 1.25%
- 10 ต.ค. ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ต.ค. 25 (ครั้งแรก) ของสหรัฐฯ และคาดการณ์เงินเฟ้อ 1 ปีข้างหน้า
- ติดตามรายงานนักท่องเที่ยวจีนเดินทางหลังสิ้นสุดช่วง Golden Week วันที่ 1-8 ต.ค. คาดจะออกมาในทางบวกหนุนหุ้นภาคบริการ
หุ้นเด่นสัปดาห์นี้ : แนะนำ
• CPAXT (TP Con-24.3): มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐฯ + กนง. ลดดอกเบี้ยหนุนกำลังซื้อ
• KTC (TP25F-40): คาดกนง.ลดดอกเบี้ย นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ กระตุ้นบริโภค
• MTC(TP25F-58): คาดกนง.ลดดอกเบี้ย นโยบายเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่ กระตุ้นบริโภค
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
