MINT โบรกฯ ชี้กำไร Q3/66 ใกล้เคียงที่คาด แนวโน้ม Q4 โต แนะซื้อ
#MINT #ทันหุ้น-บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุว่าบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT แจ้งกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/66 ที่ 2,144 ล้านบาท ลดลง 53% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 34% จากไตรมาสก่อน หากไม่รวมขาดทุนพิเศษที่ส่วนใหญ่มาจาก hedging & deviratives จะมีกำไรปกติอยู่ที่ 2,273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 24% จากไตรมาสก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาด ซึ่งการเติบโตมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการท่องเที่ยวของโรงแรมในไทยและยุโรปที่ฟื้นตัว ส่วนกำไรที่ลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากโรงแรมในยุโรปและมัลดีฟส์ อ่อนตัวลงตามปัจจัยฤดูกาล ด้านธุรกิจร้านอาหารมีผลประกอบการดีขึ้นเล็กน้อย จากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อน เพราะต้นทุนวัตถุดิบลดลง
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/66 คาดว่ากำไรปกติจะเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะการท่องเที่ยวในไทยและยุโรปที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว และเมื่อเทียบกับไตรมาก่อน คาดว่าจะเติบโตเล็กน้อย เพราะธุรกิจโรงแรมในไทย และที่มัลดีฟส์ รวมถึงธุรกิจอาหารที่ดีขึ้น เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น ซึ่งสามารถชดเชยในส่วนของผลประกอบการโรงแรมในยุโรปที่อ่อนตัวลงได้ โดยฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติทั้งปีนี้อยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 258% ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะมีกำไรปกติที่ 9.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวทั้งในไทย ที่นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และในยุโรปจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 46 บาท สำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะมองว่าราคาหุ้นที่ผ่านมายังค่อนข้าง laggard และยังไม่ได้ตอบรับฐานกำไรในปีนี้ที่คาดเติบโตดีและกลับมาสูงกว่าระดับ Pre COVID-19 แล้ว ขณะที่กำไรปีหน้ายังมีแนวโน้มเติบโตต่อ สะท้อนใน valuation ที่น่าสนใจ
ราคาหุ้น MINT ช่วงบ่าย เคลื่อนไหวอยู่ที่ 28.00 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 1.75% มีมูลค่าการซื้อขาย 485.83 ล้านบาท
**กำไรทำนิวไฮ
MINT รายงานผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยทำกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของไตรมาส 3 สูงเป็นประวัติการณ์เป็นจำนวน 2.3 พันล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อัตราร้อยละ 13 และจากช่วงเดียวกันของปีการระบาดของโรค COVID-19 ที่อัตราร้อยละ 76 จากปัจจัยต่างๆ อาทิความต้องการของการเดินทางที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก การฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร และกลยุทธ์การทำแบรนด์และการตลาดของบริษัท สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2566 MINT มีผลการดำเนินงานสูงเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกันเป็นจำนวน 4.6 พันล้านบาท พลิกฟื้นอย่างมีนัยสำคัญจาก ผลขาดทุนสุทธิจากการดำเนินงาน จำนวน 360 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในไตรมาส 3 ปี 2566 MINT มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างการจำนวน 0.25 บาทต่อหุ้น จากความสำเร็จของผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2566 การจ่ายปันผลครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดี สถานะงบการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น กระแสเงินสดที่มั่นคงจากการดําเนินงาน และแนวโน้มเชิงบวกสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืน
ไมเนอร์ โฮเทลส์ รายงานผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตอัตราร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงเป็นประวัติการณ์ของไตรมาส 3 ที่ 1.7 พันล้านบาท การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งจากธุรกิจโรงแรมในยุโรป รวมถึงผลการดําเนินงานที่ดีขึ้นของโรงแรมในประเทศไทยและอนันตรา เวเคชั่น คลับ นอกจากนี้กลุ่มโรงแรมในยุโรปยังสามารถทำรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับไตรมาส 3 ส่วนใหญ่มาจากความต้องการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการเดินทางเพื่อธุรกิจเพื่อเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและงานสัมมนาบริษัทที่จัดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาส สำหรับโรงแรมในประเทศไทย การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติและกลยุทธ์การทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าตลาดใหม่ส่งผลให้กลุ่มโรงแรมในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนอยู่ที่ร้อยละ 38 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งโรงแรมในกรุงเทพฯ ยังสามารถทำผลการดำเนินงานได้ดีกว่าช่วงของปีการระบาดของโรค COVID-19 ข้ามผ่านผลกระทบของจำนวนเที่ยวบินที่ยังคงมีจำกัด
ไมเนอร์ ฟู้ด มีผลกำไรจากการดำเนินงานเป็นจำนวน 584 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2566 เติบโตที่อัตราร้อยละ 47 เทียบกับ 399 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยความสามารถในการทำยอดขายโดยรวมทุกสาขาในประเทศไทยเติบโตกว่าอัตราร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากการขยายเครือข่าย การฟื้นตัวของยอดขายจากการรับประทานอาหารภายในร้าน ซึ่งถูกผลักดันจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกแบบเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นให้กับตลาด เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าและขยายฐานลูกค้า ไมเนอร์ ฟู้ด ประเทศไทย ได้ใช้กลยุทธ์การสร้างความพรีเมี่ยมให้กับแบรนด์หลักๆ เพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ให้ธุรกิจ เช่น แดรี่ ควีน ที่เน้นหมวดหมู่พรีเมี่ยมของซันเดย์และเครื่องดื่ม ส่งผลให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นและจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยแคมเปญใหม่ของ “ชาไทย บลิซซาร์ด” ได้ทำสถิติยอดขายสูงสุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จัดแคมเปญทั้งหมด ในขณะที่กลยุทธ์ของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนยังคงมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเมนู ปรับลดในด้านส่วนลดที่ให้ลูกค้า และใช้กลยุทธ์ในการบริหารสาขาที่ไม่ทำกำไรเพื่อดำเนินธุรกิจท่ามกลางความท้าทายด้านการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคภายในประเทศ
ไมเนอร์ โฮเทลส์ เปิดโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2566 อาทิ เอ็นเอช คอลเลคชั่นในมัลดีฟส์ อนันตรา เกาะยาวใหญ่ รีสอร์ทแอนด์วิลล่าในประเทศไทย และโรงแรมโอ๊คส์เพิร์ธในประเทศออสเตรเลีย การขยายโรงแรมไปยังสถานที่นอกเหนือจากตลาดเดิมยังคงเป็นเป้าหมายหลักของบริษัท เช่นโรงแรมเอ็นเอชในประเทศอิตาลีและเม็กซิโกที่ได้รีแบรนด์เป็นอวานีในไตรมาสนี้ ในส่วนของไมเนอร์ ฟู้ด มีร้านอาหารใหม่จำนวน 26 สาขาในไตรมาสและได้ประกาศแผนเปิดสาขาแฟรนไชส์สาขาแรกภายใต้แบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในประเทศสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 นับว่าเป็นประเทศที่ 10 ที่แบรนด์เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ขยายธุรกิจไปยังตลาดระดับโลก
บริษัทยังคงมุ่นมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานะทางการเงิน ส่งผลให้ MINT มีอัตราส่วนหนี้สินที่ลดลงและส่วนผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดี MINT มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิที่ 1.05 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 ลดลงจาก 1.17 เท่า ณ สิ้นปี 2565 อีกทั้ง MINT ยังประสบความสำเร็จในการได้รับการสนับสนุนสินเชื่อร่วมที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan : SLL) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในหมวดธุรกิจการท่องเที่ยวและสันทนาการในประเทศไทย ยืนยันเป้าหมายของ MINT ในการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมด้านการเงินและบรรลุวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืน
นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวด้วยความเชื่อมั่นถึงผลการดำเนินงานของปี 2566 และการเติบโตในอนาคต “ผมมีความยินดีที่จะกล่าวว่าปัจจัยบวกที่มีอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ MINT สามารถบรรลุกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับไตรมาส 3 นำโดยความแข็งแกร่งจากกลุ่ม ไมเนอร์ โฮเทลส์ ตลอดทั้งไตรมาสนี้ โดยไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงมีแน้วโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการการเดินทางทั่วโลกที่สูงขึ้น ยอดการจองห้องพักล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นและกิจกกรรมการเดินทางที่มีมากขึ้น ในส่วนของไมเนอร์ ฟู้ด การเป็นผู้นำตลาดและแบรนด์ชั้นนำยังคงเป็นความมุ่งมั่นของบริษัท โดยมุ่งเน้นการยกระดับผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ภายในร้านเพื่อขยายฐานลูกค้า” นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของ MINT กล่าวเพิ่มเติม “ด้วยแรงผลักดันที่ดี เราเชื่อว่าบริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสถัดๆ ไป โดยเฉพาะจากแรงหนุนในช่วงฤดูการท่องเที่ยวสำหรับโรงแรมในทวีปเอเชียในไตรมาส 4 ปี 2566 และไตรมาส 1 ปี 2567”