นักวิจัยไทยพบชะตาโลก จะโดนดวงอาทิตย์กลืนในอีกไม่กี่ (พันล้าน) ปี
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ชีวิตบนโลกสามารถอยู่อาศัยได้ก็คือดวงอาทิตย์ที่ให้พลังงานและแสงสว่าง แต่ในอนาคตไม่กี่พันพันล้านปี ต่อจากนี้ โลกจะไม่มีอยู่อีกต่อไป เพราะการสิ้นอายุขัยของดวงอาทิตย์ ตามรายงานวิจัยล่าสุดที่นำโดย ดร.อมรรัตน์ อังเวโรจน์วิทย์ นักฟิสิกส์จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอร์วิก (University of Warwick) ในอังกฤษ
วิธีการวิจัยชะตาโลกหลังดวงอาทิตย์ดับ
ในงานวิจัยดังกล่าวได้ทำการวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับระบบสุริยะ โดยการสังเกตดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ในเอกภพที่มีความคล้ายคลึงกับดวงอาทิตย์ทั้งในด้านอายุขัยและกลไก ตลอดจนการมีดาวบริวารที่โคจรรอบดาวฤกษ์นั้น ๆ เป็นเวลา 17 ปี ก่อนนำมาวิเคราะห์คาดการณ์
ผลการวิจัยสรุปว่าโลกจะโดนกลืนหายไปในช่วงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่ขยายตัวขึ้นก่อนเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่าดาวแคระขาว (White dwarf) ซึ่งเป็นเศษซากของดวงอาทิตย์ที่หมดอายุขัย หลังจากที่ไฮโดรเจน ที่เป็นเชื้อเพลิงในการสร้างปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน (Nuclear Fusion) ที่ให้พลังงานความร้อนและแสงสว่างหมดลง
ชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงของโลก
ปัจจุบันดวงอาทิตย์มีอายุประมาณ 4,600 ล้านปี และเคยมีการคาดการณ์ว่าในอีกไม่เกิน 5,000 ล้านปี ดวงอาทิตย์จะเข้าสู่สภาวะดาวแคระขาว โดยทีมวิจัยคาดการณ์ว่าการขยายตัวนี้จะกลืนกินระบบสุริยะชั้นในเกือบทั้งหมด โดยมีเพียงดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี รวมถึงดวงจันทร์บางดวงของดาวพฤหัสบดีที่รอดและโคจรในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กลายเป็นดาวแคระขาว
ในขณะเดียวกัน การคาดการณ์ยังเป็นเพียงการเทียบเคียงกับระบบอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น ซึ่งในอนาคตก็อาจจะเป็นไปได้ที่โลกจะเปลี่ยนเส้นทางวงโคจร แต่ข่าวร้ายก็คือ ในความเห็นทีมนักวิจัยนั้นเชื่อว่า ต่อให้โลกสามารถเปลี่ยนวงโคจรเพื่อหลุดพ้นการโดนกลืนได้ แต่การขยายตัวของดวงอาทิตย์ (Red giant) ก็ทำให้โลกเสียสภาพบรรยากาศและปัจจัยในการดำรงชีวิตไปอยู่ดี
ข้อมูลจาก Interesting Engineering
ภาพจาก Dr Mark Garlick/The University of Warwick via Royal Astronomical Society