รีเซต

ตลาดหรูโตต่ำสุดรอบ 15 ปี! เปิดแผน "Gucci" พลิกเกมฟื้นตัว l การตลาดเงินล้าน

ตลาดหรูโตต่ำสุดรอบ 15 ปี! เปิดแผน "Gucci" พลิกเกมฟื้นตัว l การตลาดเงินล้าน
TNN ช่อง16
23 มิถุนายน 2568 ( 13:25 )
7

เคอริ่ง (Kering) ยืนยันกระแสข่าวการดึงนักบริหารมืออาชีพเข้ามาเป็น ซีอีโอคนใหม่ โดยระบุว่า กำลังว่าจ้าง ลูก้า เดอ เมโอ (Luca de Meo) ซีอีโอของ เรอโนลต์ (Renault) ที่เพิ่งประกาศลาออกไปก่อนหน้านี้ และจะเข้ามารับตำแหน่งใหม่ในบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน เป็นต้นไป

ฟรองซัวส์-อองรี ปิโนลต์ (François-Henri Pinault) ซึ่งจะยังคงดำรงตำแหน่งประธานบริษัท เคอริ่ง กล่าวในแถลงการณ์ บอกว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ทำให้ เคอริ่ง มีความจำเป็นต้องปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และปรับมุมมองใหม่ในการดำเนินธุรกิจ

ทั้งบอกอีกว่า เดอ เมโอ เป็นนักบริหารแนวหน้าของบริษัทจดทะเบียนระดับนานาชาติ เป็นผู้ที่มีการตัดสินใจเฉียบคมเกี่ยวกับการบริหารแบรนด์ และมีประสบการณ์ในการทำความเข้าใจต่อวัฒธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง และให้ความเคารพซึ่งกันและกัน จึงเชื่อมั่นว่า เขาจะเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้

รอยเตอร์ส รายงานด้วยว่า ฟรองซัวส์ จะยังคงมีส่วนร่วมในเชิงกลยุทธ์กับองค์กรต่อไป แต่จะไม่แทรกแซงในการบริหารงาน ทำให้ เดอ เมโอ มีอิสระอย่างเต็มที่ในการแต่งตั้งบุคคลใดก็ตามเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญ และสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับลำดับความสำคัญของกลุ่ม

ทั้งนี้ เคอริ่ง เป็นเจ้าของแบรนด์หรู เช่น Gucci (กุชชี), Saint Laurent (แซงต์ โลรองต์) และ Balenciaga (บาเลนเซียก้า) // โดยแบรนด์ กุชชี ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างน่าทึ่งมานานหลายปี แต่จากการระบาดของโควิด 19 ที่ผ่านมา ทำให้ เคอริง ก็ต้องดิ้นรนเพื่อฟื้นคืนความแข็งแกร่งให้กับ กุชชี ที่เผชิญกับยอดขายชะลอตัวลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ เองยังต้องรับภาระหนี้ ที่มีมากกว่า 10,000 ล้านยูโร ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อบริษัทฯ ที่อาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้ 

อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการรายงานข่าวนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ราคาหุ้น เคอริ่ง ปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาหุ้นของ เรอโนลต์ กลับสวนทางลดลง โดยในช่วงที่ เดอ เมโอ ดำรงตำแหน่ง ซีอีโอ ของเรอโนลต์ ตลอด 5 ปีนั้น เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้พลิกฟื้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติฝรั่งรายนี้ โดยเริ่มดำเนินการลดต้นทุนในวงกว้าง ทั้งการลดจำนวนพนักงาน การลดกำลังการผลิตทั่วโลก ทำให้เรอโนลต์กลายเป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่มีความคล่องตัวมากขึ้น 

ด้านนักวิเคราะห์จาก Kepler Cheuvreux (เคปเลอร์ โชฟโฟรซ์) ให้มุมมองว่า การจ้างผู้บริหารที่ไม่ได้มาจากวงการสินค้าหรู ในสายตาของคนทั่วไปอาจดูว่าเป็นความเสี่ยง แต่จากประวัติและคุณสมบัติของ เดอ เมโอ กลับเหมาะสมอย่างยิ่งในการนำพาเคอริ่งไปข้างหน้า เนื่องจาก ความสามารถในการพลิกฟื้นธุรกิจ การให้ความสำคัญกับแบรนด์ และการมีประสบการณ์ด้านการตลาดที่กว้างขวาง ทำให้เขาเหมาะที่จะเข้าไปแก้ปัญหาในบริษัทดังกล่าว 

ขณะที่ ซีเอ็นบีซี รายงานว่า เดอ เมโอ ทำงานในภาคส่วนยานยนต์มานานกว่า 30 ปี ซึ่งนอกจาก เรอโนลต์แล้ว ก่อนหน้านี้ ยังเคยร่วมงานกับทั้ง Toyota, Fiat (เฟียต) และ Volkswagen (โฟล์กสวาเกน)

โดย โธมัส โชเวต (Thomas Chauvet) นักวิเคราะห์อาวุโส จาก ซิตี้ กล่าวชื่นชมผลงานของ เดอ เมโอ ในการพลิกฟื้น เรอโนลต์ แต่มองว่า การฟื้นธุรกิจแบรนด์หรูที่ประสบปัญหานั้น จะมีความซับซ้อนมากกว่า คือจะยากมากขึ้น ใช้เวลานานขึ้น และมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

นอกจากนี้ อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนก่อน เนื่องจากปัจจุบัน ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะเลือกซื้อแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งและเป็นที่นิยมอยู่แล้ว มากกว่าที่จะเสี่ยงไปกับแบรนด์ที่กำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน หรืออยู่ระหว่างการพลิกฟื้นธุรกิจ

เขาบอกอีกว่า ในการฟื้นฟูแบรนด์ จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ เพราะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และการที่ต้องฟื้นฟูทั้ง 2 แบรนด์คือ กุชชี และ แซงค์ โลรองต์ จึงต้องทำอีกหลายสิ่ง กว่าจะสร้างกระแสรายได้ และมีกระแสเงินสดที่มั่นคงสำหรับกลุ่มได้ แต่หากทำสำเร็จ อาจส่งผลให้มีการปรับอันดับความน่าเชื่อถือใหม่ในอนาคต

ทั้งนี้ เคอริ่ง รายงานยอดขายไตรมาสแรก ลดลงไปร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งแย่กว่าที่คาดไว้ และชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคจากเศรษฐกิจมหภาคที่รออยู่ข้างหน้า กุชชี่ ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งกลุ่มนั้น ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา กุชชี่ มียอดขายลดลงไปถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

โดย กุชชี่ ประสบกับปัญหายอดขายอ่อนแอติดต่อกันหลายไตรมาส เนื่องจากการออกแบบของแบรนด์ไม่ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อ และการเปิดรับผู้บริโภคชาวจีนในระดับสูง จากที่เคยทำกำไรได้ดี แต่ปัจจุบันได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะตกต่ำของตลาดเอเชีย 

อีกหนึ่งปัจจัยกดดันต่ออุตสาหกรรมแบรนด์หรู ก็คือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และความผันผวนของตลาด โดยรายงานใหม่ล่าสุด ซึ่งจัดทำขึ้นโดย บริษัทวิจัย เบน แอนด์ คอมพานี (Bain & Company) และ อัลตาแกมมา (Altagamma) หรือสมาคมอุตสาหกรรมสินค้าฟุ่มเฟือยของอิตาลี ชี้ว่า ภาคส่วนสินค้าฟุ่มเฟือยปี 2025 กำลังเผชิญกับภาวะถดถอยครั้งใหญ่สุดในรอบ 15 ปี 

หรือถอยไปตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 - 2009 โดยไม่นับรวมช่วงปีที่เกิดการระบาดใหญ่ ซึ่งมองว่าเป็นผลกระทบชั่วคราว

รายงานดังกล่าวระบุว่า การใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยที่มักอ่อนไหวต่อความไม่แน่นอน กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันเพิ่มมากขึ้น จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง ซึ่งถูกกัดกร่อนจากความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการค้า ความผันผวนของสกุลเงิน และความผันผวนของตลาดเงินทั่วโลก

ขณะเดียวกัน ยังต้องเจอกับความผิดหวังที่เพิ่มมากขึ้น จากคนรุ่นใหม่ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะผู้บริโภคในกลุ่มเจน ซี ที่กำลังประเมินความสัมพันธ์ครั้งใหม่ระหว่างพวกเขากับสินค้าหรู

ตลอดจนเผชิญกับแรงกดดันอื่น ๆ รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางการจัดจำหน่าย, แรงกดดันทางเงิน ที่ผู้เล่นในอุตสาหกรรมต้องรักษาเสถียรภาพหนี้ และสภาพคล่องทางการเงิน ทำให้มีบางรายต้องปรับโครงสร้างใหม่, แรงกดดันด้านนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์, ความท้าทายด้านห่วงโซ่อุปทานที่เกิดจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และแรงกดดันจากกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้ ตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยโดยรวม ซึ่งรวมถึงบริการหรูหรา รถยนต์ และภาคส่วนอื่นๆ มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 1 ล้าน 5 แสน ล้านยูโรต่อปี เฉพาะกลุ่มสินค้าหรูที่รวม สินค้าแฟชัน เครื่องหนัง เครื่องประดับ นาฬิกา ผลิตภัณฑ์ความงาม พบว่าปี 2024 ตลาดรวมมีมูลค่าอยู่ที่ 364,000 ล้านยูโร หดตัวไปร้อยละ 1 ตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน และดูเหมือนว่าจะยังหดตัวต่อไป ในไตรมาส 1 ของปี 2025 นี้ โดยคาดว่าจะลดลงราวร้อยละ 1 ถึงร้อยละ 3

อย่างไรก็ดี เบน แอนด์ คอมพานี คาดการณ์แนวโน้มของตลาดสินค้าหรูส่วนบุคคล ในปีนี้ ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด คาดกว่าจะหดตัวต่อ โดยรายได้จะลดลงไประหว่างร้อยละ 2 ถึงร้อยละ 5

แต่สินค้าเชิงประสบการณ์จะยังไปได้ดี โดยไตรมาส 1 ที่ผ่านมา พบว่า บริการหรูหรามีความคึกคักเป็นพิเศษ ได้รับแรงหนุนจากอัตราการเข้าพักโรงแรมเพิ่มขึ้นและการเข้าพักระยะยาว สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการประสบการณ์ส่วนบุคคลของผู้บริโภคขณะเดียวกัน เรือสำราญสุดหรูยังคงได้รับความสนใจในการท่องเที่ยว ส่วนเครื่องบินส่วนตัวและเรือยอชต์ ก็มีคำสั่งซื้อสินค้ารออยู่เป็นจำนวนมาก และความต้องการเช่าแบบเหมาลำ ก็มีเพิ่มมากขึ้น

ด้านตลาด ทั้งสหรัฐอเมริกา และจีนแผนดินใหญ่ ที่เป็นตลาดสำคัญของสินค้าหรู ต่างก็กำลังประสบกับช่วงเวลาที่ความต้องการซื้อลดลงเนื่องจากไม่ความแน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่วนยุโรป และญี่ปุ่น ได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวที่ลดลง แต่ความต้องการในท้องถิ่นจะช่วยชดเชยการลดลงนี้ โดยยุโรปยังคงให้ความสนใจในเครื่องประดับและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ส่วนญี่ปุ่น สนใจในสินค้ารุ่น ลิมิเต็ด และผลิตภัณฑ์ความงาม 

ในทางกลับกัน ตลาดสินค้าหรูในตะวันออกกลาง, ละตินอเมริกา และบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยังคงแข็งแกร่ง เช่นที่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เม็กซิโก และอินโดนีเซีย ต่างก็ได้รับประโยชน์จากความต้องการในท้องถิ่นที่แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวรายใหม่

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง